แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติบอลเชวิก เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก เป็นละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย

และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ

แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที

หัวหน้าบอลเชวิก ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัด เจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ

เลวี ดาวีโดวิช บรอนสไตน์ (Levi Davidovich Bronstein) คือชื่อจริงของลีออน ทรอท์สกี้ เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของมาร์กซ์ บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อลีออน ทรอท์สกี้มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์

ทรอท์สกี้ได้ยินชื่อเลนิน นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิตส์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน  เลนินบอกทรอท์สกี้ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ

ปี ค.ศ.1905 ทรอท์สกี้กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่พระเจ้าซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือนแต่ไม่สำเร็จ และทรอท์สกี้ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก อเล็กซานเดอร์ พาร์วุส เฮลป์ฟันด์ (Alexander “Parvus” Helphand) ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม

เป็นพาร์วุสที่แนะนำให้ทรอท์สกี้กับเจคอบ เอช ชิฟฟ์ รู้จักกัน

คนหนึ่งอยากได้คนมาไล่พระเจ้าซาร์ ส่วนอีกคนกำลังอยากไล่พระเจ้าซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ชิฟฟ์จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของทรอท์สกี้ ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญของคูน โลบ แอนด์ โค (Kuhn, Loeb & Co) หรือจริงๆ ก็คือ เงินของรอธไชลด์ที่ต้องการกำจัดพระเจ้าซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่บากู และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย

เมื่อทรอท์สกี้และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือคือ อาเธอร์ คอนคอร์ส (Arthur Concors) ผู้อำนวยการสมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดินทางเข้าอเมริกา the Hebrew Sheltering’s and Immigration Aid Society ซึ่ง ชิฟฟ์ เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วน อพาร์ตเมนท์ที่ ทรอท์สกี้และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของดร. จูเลียส แฮมเมอร์ (Dr. Julius Hammer) ที่อพยพมาจากรัสเซียและเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา อาร์มันด์ (Armand) ลูกชายของจูเลียส (Julius) ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรกที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต

เมื่อทรอท์สกี้ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัวทรอท์สกี้ มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่างผู้พันเฮาส์กับเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนท์เดียวกันชื่อเซอร์วิลเลี่ยม ไวซ์แมน (Sir William Wiseman) หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของ คูน โลบ (Kuhn, Loeb)ของชิฟฟ์หรือของรอธไชลด์ด้วย

นิโคไล เลนิน (Nikolai Lenin) หรือชื่อจริงคือ วลาดิเมียร์ อัลยิช อูลยานอฟ (Vladimir llyich Ulyanov) ชาวรัสเซียเชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิมาร์กซ์ (Marx) และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชายที่ถูกลงโทษแขวนคอพร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ (Alexander) ที่ 2 ปู่ของซาร์นิโคลัสที่ 2

เลนินคิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลพระเจ้าซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ

ปี ค.ศ.1905 ขณะที่รัสเซียกำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น เลนิน, ทรอท์สกี้และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านพระเจ้าซาร์ แต่ไม่สำเร็จจึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย เลนินตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส

เป็นพาร์วุส คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหาเลนินที่สวิส และชักชวนให้เลนิน ซึ่งยังฝันค้างมาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่เลนินบอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง

ช่วงนั้นพาร์วุสปักหลักอยู่ที่โคเปนเฮเกน (Copenhagen) จึงคุ้นเคยกับบร็อคดอร์ฟ รันท์เซา (Brockdorff-Rantzau) รัฐมนตรีของเยอรมันที่ประจำอยู่ที่เดนมาร์ก และทำหน้าที่หาข่าว พาร์วุส วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง

เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวัน ออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ

ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย

แล้วเลนินก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏิวัติที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมีชาวรัสเซียแท้เพียง 25% ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว

พาร์วุส มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆว่า อเล็กซานเดอร์ พาร์วุส เฮลป์ฟันด์ แต่จริงๆ เขาชื่ออิสราเอล ลาซาเรวิช เกลฟานด์ (Israel Lazarevich Gelfand) พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมืองเบราซีโน (Berazino) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเบลารุส (Belarus) เขาเจอเลนินครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1900 ที่เมืองมิวนิคของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน

พาร์วุสเป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน

พาร์วุสใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่เซอร์เบซิล ซาฮารอฟ (Sir Basil Zaharoff) ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีลอยด์ จอร์จของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่ ซาฮารอฟเป็นกรรมการ และมีรอธไชลด์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พาร์วุสได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย

วันที่เลนินและพวกเดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟคำพูดของหลอดวินสตัน เชอร์ชิล ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับเลนิน น่าสนใจและน่าคิด

“… เลนินถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่เลนินถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ในนิวยอร์ค, กลาสโกล์, เบิร์นและเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบันที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…”

เซอร์ฮัลฟอร์ด แมคคินเดอร์ (Sir Halford Mackinder) หรือครูแมค (Mac) ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อปี ค.ศ.1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสินหรือควบ คุมบริเวณยูเรเซีย (Eurasia) อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครูแมคได้รับการเชื่อถือและยกย่องจากทั้งอังกฤษและอเมริกา …และตั้งแต่ครูแมคประกาศทฤษฏีของตัวออกมา… ก็เหมือนครูแมคออกใบสั่งประหารรัสเซีย

อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการตั้งเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูแมคข้างต้น อังกฤษจึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

ขั้นตอนแรก กวาดเยอรมันและออตโตมาน ให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไปเนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครูแมค ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น  ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย ….หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย…

แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย… อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ… และนอกจากนั้นการตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ ชวนให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกแองโกล แซกซอน (Anglo Saxon) ด้วย กัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า

ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของรอธไชลด์ ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้นอังกฤษก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่นกัน ดูได้จากพฤติกรรมของลอร์ด มิลเนอร์ (Lord Milner) แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีลอยด์ จอร์จ (Lloyd George) ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ บรูซ ล็อคฮาร์ต (Bruce Rockhart) มาประกบ เรย์มอนด์ โรบินส์ (Raymond Robins) หมาป่าพันธุ์อเมริกัน เอาไว้

ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาลและด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือ ไล่พระเจ้าซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน…. มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครูแมคด้วยเช่นกัน… แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่พระเจ้าซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด

สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย ร้อกกี้เฟลเลอร์ / มอร์แกน / กุ๊กเกิ้นไฮม์ ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

น่าคิดว่า การปล้นที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้นที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อ มา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่

และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที

ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือน กัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพธ์  ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษนอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

แม้ข้อเสนอของนายพลเฮาส์ ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงครามโลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วม กันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

ส่วนเยอรมันไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่แรก ความต้องการของเยอรมันคือ ต้อง การได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของร้อกกี้เฟลเลอร์(Rockefeller) เจ้าพ่อStandard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ เบอร์ลิน แบกแดด ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง

รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่บากู ที่ทั้งเจ้าพ่อรอธไชลด์ และเจ้าพ่อร้อกกี้เฟลเลอร์ อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวกเยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับ สนุนเลนิน ทำปฏิวัติไล่พระเจ้าซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน …พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย… แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น… เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปในบากู ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะอังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถวบากู คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

Scroll to Top