เล่ม 4 ‘เหยื่อ 3 ต้มไม่เสร็จ’
อียิปต์
อังกฤษเข้าไปวุ่นอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ช่วงที่อังกฤษบอกว่าเป็นเวลานาทีทองของอังกฤษ หรือที่อังกฤษเรียกว่าเป็น “moment” ของตนเองในตะวันออกกลาง คือช่วง ค.ศ.1914-ค.ศ.1956 จักรภพอังกฤษในตะวันออกกลาง เริ่มตั้งแต่คลองสุเอซ ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย
ออตโตมานเป็นบริเวณใหญ่ และถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับอังกฤษในตะวันออกกลางในช่วงแรก เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ สำหรับดักหน้า ดักหลัง ไม่ให้ใครเข้าไปสู่อินเดีย กล่องดวงใจของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษคิดตลอดเวลาว่า ทุกชาติ คิดจะชิงอินเดียไปจากอังกฤษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือเยอรมัน
อีกบริเวณหนึ่งที่อังกฤษถือว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือ อียิปต์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน
อียิปต์เป็นเมืองท่าสำคัญ อยู่ระหว่างเส้นทางเดินของการค้าระหว่างยุโรปกับเอเซีย พ่อค้าชาวอังกฤษทำการขนถ่ายสินค้า ที่แถวท่าน้ำของอาณาจักรออตโตมานส่วนนี้ มาเป็นเวลาหลายชั่วคนแล้ว เช่น เดียวกันกับทุกเมืองในแถบนี้ อังกฤษเอาอียิปต์ไปโยงกับอินเดีย เพราะอียิปต์เป็นเส้นทางที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพลและชอบใช้ ฝรั่งเศสอาจใช้อียิปต์เป็นเส้นทางไปถึงอินเดียได้ นี่ก็เป็นอาการที่หลอนอังกฤษ ในเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แต่ไม่ได้เป็นการหลอนแบบเพ้อ เพราะฝรั่งเศสมาจริง
ค.ศ.1728 นโปเลียนยกทัพมาลองเชิงอังกฤษที่อียิปต์ นโปเลียนตีกองทัพของ เมมเมลัค (Mameluk) ผู้ครองนครอียิปต์แตกกระเจิงอยู่หน้าปิรามิด อังกฤษถึงกับสะดุ้งเฮือก เหงื่อกาฬแตก นึกไม่ถึงว่าคู่หู คู่กัด จะกล้าดี บุกเข้ามาทีเผลอ บังเอิญกองทัพเรือของอังกฤษยังพอมีอยู่แถวนั้น ท่านหลอดเนลสัน (Nelson) จึงยกทัพเรือไปขู่กองทัพเรือของฝรั่งเศสที่อ่าวอบูเคียร์ (Abukir) ฝรั่งเศสถอยไม่ออก เดิน หน้าไม่ได้ ถูกล้อมอยู่ในอ่าว ในที่สุดนโปเลียนตัดสินใจสละเรือ ยกพลขึ้นบก เดินเท้าแบบหงอยๆ กลับฝรั่งเศส
อีกแล้ว ฝรั่งเศส! ขู่ได้แต่กับสมันน้อยเท่านั้น หรือไง!
ผลของการที่ฝรั่งเศสแอบจะมาตีท้ายครัว อังกฤษจึงฉวยโอกาสทิ้งกองทัพไว้ที่อียิปต์เต็มเมือง อียิปต์จึงดูเหมือนอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา แต่การสู้รบระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์ และที่อียิปต์จะเอาตัวให้รอด ก็มีอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดปี ค.ศ.1904 อังกฤษและฝรั่งเศส คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง เสียเวลาล่าเหยื่ออื่น เลยทำข้อตกลง แบ่งสมบัติแถบนั้นระหว่างกัน อียิปต์ตกลงยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสยึดครอง มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซียแถบนั้นไป
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกา ก็หยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่
อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง
หลังจาก ค.ศ.1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากอังกฤษให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอก อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น
ช่วงปี ค.ศ.1890 เรื่องแย่งชามข้าว ดูเหมือนจะจบ แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังมีเรื่องคลองสุเอซ ค้างอยู่ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายริเริ่มให้ขุดคลองสุเอซ โดยอังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วม และคิดว่าการขุดคลองภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ แต่อียิปต์และฝรั่งเศสก็ทำสำเร็จ
ในที่สุดเมื่อคลองสุเอซเสร็จ เปิดกิจการในปี ค.ศ.1869 อังกฤษเริ่มตาร้อน มันย่นเส้นเดินทาง จากลอนดอนไปบอมเบย์ ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คลองสุเอซควบคุมโดยคาดิฟ (Khedive) ผู้ครองนครและฝรั่งเศส
อังกฤษจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อังกฤษต้องรีบตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้ว่าพวกคาดิฟหนี้ท่วมหัว จากการขุดคลองสุเอซ ตามที่ฝรั่งเศสแนะนำ หมดปัญญาชำระหนี้ อังกฤษโยนเงินกระสอบใหญ่ให้คาดิฟขอซื้อหุ้น Suez Canal Company คนมีหนี้กำลังหน้ามืด ไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน คาดิฟยอมให้อังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ความรวดเร็วของอังกฤษ ในการปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอซเหมือนดึงอาหารออกจากปากฝรั่งเศส ขณะกำลังเคี้ยว ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับอ้าปากค้าง ต้องตบปากตัวเองถึงจะหุบได้
อังกฤษเอาเงินมาจากไหนรวดเร็ว อ้อ นายทุนใหญ่รอธไชลด์ เป็นผู้ให้รัฐบาลอังกฤษยืม อืม…
แต่อียิปต์ก็เหมือนตะกร้าก้นรั่ว ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่พอเอามาใช้เลี้ยงประเทศ ต้องเอาไปใช้หนี้ เศรษฐกิจของอียิปต์ทำท่าจะไหลไปกับแม่น้ำไนล์ ไม่กี่ปีก็ต้องแบกหน้าไปหาเงินกู้ใหม่อีก อังกฤษกับฝรั่งเศสก็เลยทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแล จัดการหาเงินกู้ให้ ช่วงนี้อียิปต์เลยเหมือนเป็นอาณานิคม ที่มีนายเหนือ 2 คน ผลัดกันทึ้ง
แต่หนี้อียิปต์ก็ยังงอกต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดคาดิฟถูกบังคับให้สละบัลลังก์และเอาทอฟิก (Tawfiq) ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน และค.ศ.1882 กองทัพอียิปต์นำโดย อาราบี้ ปาชา (Arabi Pasha) ก็ทำการยึดอำนาจ ความไม่สงบเกิดขึ้นในอียิปต์ กองทัพคุมไม่อยู่ อังกฤษบอกไม่เป็นไร ไอคุมให้เอง
อังกฤษเข้าไปจัดการ เก็บกวาด กองทัพและพวกยึดอำนาจจนสะอาด เรียบร้อยและครอบครองอียิปต์สมบูรณ์เหมือนเป็นอาณานิคม ตั้งแต่บัดนั้น โดยไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามามีส่วนร่วม
ค.ศ.1914 อียิปต์ สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้ง แต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้ายจาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ.1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ.1913
อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาดการปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่ สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุดและสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม
การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก
ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาร์เลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่า ยาสูบไม่ใช่สิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน
ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สารพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ
คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ.1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85%
ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอซ อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึดอียิปต์ในปี ค.ศ.1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดน ฝ้าย ซึ่งสร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ.1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์
อียิปต์เหยื่ออย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตายหรือตายซากในภูมิภาคนั้น
เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้
ตั้งแต่ ค.ศ.1882 เป็นต้นมา อียิปต์ก็กลายเป็นอาณานิคม ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ เต็มรูปแบบ แต่สถานะอียิปต์ภายนอกยังดูเหมือนเดิม ออตโตมานก็ยังนับอียิปต์เป็นส่วนหนึ่งของตนเหมือนเดิม อังกฤษเองในตอนนั้นกำลังคิดอยู่ว่าจะให้อียิปต์เป็นเมืองขึ้นของตนดีหรือไม่ แต่คิดคำนวณรายรับรายจ่ายยังไม่ถูก เลยแค่ประกาศว่า ขณะนี้ เรา อังกฤษผู้เป็นจักรภพใหญ่ที่สุดในโลก อย่างที่ไม่มีผู้ใดจะเทียมทาน ได้มายึดครองอียิปต์เป็นการชั่วคราวแล้ว (Temporary occupation power) จึงประกาศมาให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน!
เป็นจักรภพ จักรวรรดิ เขาประกาศกร่างแบบนี้
ผู้ที่ใช้อำนาจปกครองอียิปต์ที่ผ่านมาคือ คาดิฟก็เหมือนจะยอมรับในอำนาจอันยิ่งใหญ่ไพศาลของอังกฤษโดยไม่หือ อำนาจทั้งปวงในการบริหารและการทูต ก็เลยดูเหมือนเดินผ่านหน้าคาดิฟ อย่างไม่เห็นหัว ตรงไปคุกเข่าต่อหน้าอังกฤษ ซึ่งให้พันตรี แบร์ริ่ง (Major Baring) มาเป็นผู้ดูแล ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1883–ค.ศ.1907
นายพันตรีแบร์ริ่ง เป็นผู้มาทำหน้าที่ดูแลจัดเก็บเงินชำระหนี้ ( Commission of the Public Debt )ทำหน้าที่อย่างดี เก็บเงินอียิปต์ไม่มีหล่นไปถึงชาวอียิปต์ จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึง ลอร์ด โครเมอร์ (Lord Cromer) ใครที่เป็นนักอ่านประวัติศาสตร์คงจะเคยได้ยินชื่อนายคนนี้ ใหญ่เหลือประมาณ เป็นที่รู้กันว่า ช่วงนั้นอียิปต์ปกครองโดยระบอบโครเมอร์ (Cromer Regime) แสดงให้เห็นถึงความไร้อำนาจของรัฐบาลอียิปต์โดยสิ้นเชิง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม อังกฤษต้องแสดงอำนาจเหนืออียิปต์ย่างเต็มที่ อังกฤษประกาศอย่างเป็นทางการให้อียิปต์เป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษ (Protectorate) เพราะอังกฤษต้องการควบคุมคลองสุเอซ ไม่ให้ฝ่ายเยอรมันมาใช้เป็นทางผ่าน อังกฤษประกาศปิดคลอง และเมื่อออตโตมานประกาศตัวเข้าสู่สงครามอยู่ฝ่ายเยอรมัน อียิปต์ก็มึนหัวไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของใคร ดีว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อียิปต์ไม่ได้ต้องเล่นบทเป็นตัวเอก
แต่เมื่อสงครามโลกเสร็จสิ้น อียิปต์เห็นตัวอย่างของอาณาจักรออตโตมาน ความอยากเป็นอิสระจากออตโตมานและตะวันตกก็ค่อย ๆ เพาะตัวขึ้นในอียิปต์ อังกฤษต้องออกแรงยกทัพมาปราบหลายครั้ง ทั้งๆที่ช่วงนั้นอังกฤษอยากไปขุดน้ำมันที่ส่วนอื่นของตะวันออกกลางมากกว่า อียิปต์มีดีแค่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับป้องกันอินเดีย กล่องดวงใจ กับเป็นแหล่งฝ้าย แต่ฝ้ายมันจะเทียบน้ำมันได้อย่างไร อังกฤษจึงคิดหนักว่าจะจัดการกับอียิปต์อย่างไรดี
ค.ศ.1922 อังกฤษตกลงใจว่า ควรจะให้อียิปต์เป็นอิสระ โดยมีผู้ปกครองประเทศเป็นพวกที่นิยมอังกฤษ ดีกว่าให้ชาวอียิปต์เรียกร้องอิสรภาพกันเอง แล้วเลือกพวกหัวรุนแรงรักชาติขึ้นปกครองอียิปต์ …สมันน้อยอ่านตรงนี้แล้วคิดให้ลึกๆ นะ
แล้วอังกฤษก็ประกาศให้อียิปต์พ้นจากเป็นรัฐในอาณัติของอังกฤษในปีนั้นเอง โดยสงวนสิทธิไว้ 4 เรื่อง คือด้านการคมนาคม ความมั่นคง ผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ และเรื่องซูดาน
ดูเหมือนอียิปต์จะเป็นอิสระ แต่ก็เป็นภาพลวงตา เหมือนที่อังกฤษหลอกกับเหยื่อทุกราย
ค.ศ.1942 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ต้องการจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ซึ่งในความเห็นของอังกฤษ เป็นผู้ที่ต่อต้านอังกฤษอย่างรุนแรง อังกฤษจึงใช้วิธีให้มีการปฏิวัติซ้อน และให้กษัตริย์ตัดสินใจใหม่ แน่นอนคณะรัฐมนตรีที่กษัตริย์เลือก ก็เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นชอบ!
ความสำคัญของอียิปต์ใน สายตาของอังกฤษเริ่มเปลี่ยนไป เปรียบเทียบฝ้ายกับน้ำมัน อียิปต์ก็เหมือนนางงามตกรุ่น ต้องไปเล่นรำวงแทน แต่อย่างน้อยด้วยจุดยุทธศาสตร์ที่เอาไว้ระวังกล่องดวงใจ อังกฤษก็ยังเก็บอียิปต์ไว้ก่อน แต่เมื่อถึงปี ค.ศ.1942 เมื่ออินเดียประกาศอิสภาพ หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การจะเก็บอียิปต์ไว้ ให้ต้องแบก ต้องเฝ้า มีค่าใช้จ่ายไม่คุ้มทุน เริ่มทำให้อังกฤษคิดหนัก แต่คลองสุเอซก็ไม่ได้ไร้ความหมายเสียสิ้นเชิง
สาเหตุหนึ่งที่สร้างให้เกิดขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงในอียิปต์ ก็มาจากการที่อังกฤษสร้างอิสราเอลให้ยิวมาจ่ออยู่ปลายจมูกของอียิปต์นั่นแหละ ชาวอียิปต์จะรับได้อย่างไร เดี๋ยวๆก็มีการมากระตุกขนจมูกกันอยู่เรื่อย มุสลิมหัวรุนแรง จึงต่อต้านชาวอียิปต์ที่นิยมอังกฤษและชาวอังกฤษเอง เหตุการณ์ประท้วงนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนายกรัฐมนตรีอียิปต์ถูกลอบฆ่าในปี ค.ศ.1948 ปี ค.ศ.1951อียิปต์อยู่ในภาวะฉุกเฉิน อังกฤษส่งกองทัพเข้ามาปราบ แต่ฝั่งอียิปต์ก็สู้ต่อ ในที่สุดก็ถึงจุดระเบิด ในปี ค.ศ.1952เมื่อพันเอกนัสเซอร์ (Col. Nasser) นำกองทัพเข้าไปยึดเมืองและขับไล่ราชวงศ์ออกไป
นัสเซอร์เอง อันที่จริงไม่ได้เป็นฝ่ายที่ไม่เอาอังกฤษ เขาออกจะอยู่ตรงกลางและดูเหมือนจะไปกับตะวันตกได้เสียด้วยซ้ำในตอนแรก เขาพยายามเจรจาให้อังกฤษถอนทัพไปจากอียิปต์อย่างสวย และในปี ค.ศ.1954 ก็ได้มีการลงนามในสัญญา Anglo Egyptian Treaty ซึ่งอังกฤษตกลงที่จะทยอยถอนทัพออกไปจากอียิปต์ แต่สงครามเย็นต่างหากที่ทำให้นัสเซอร์เองทนคบกับฝั่งตะวันตกไม่ไหว
การที่อิสราเอลกระแทกจมูกอียิปต์ที่ฉนวนกาซ่าบ่อยๆ มันเป็นสิ่งที่นัสเซอร์รำคาญใจ แต่ยังเกรงใจอังกฤษ แม้อังกฤษจะเป็นคนเริ่มก่อเรื่อง
นัสเซอร์เป็นคนมีเหตุผล เขาพยายามสาวจากผลไปหาเหตุ อิสราเอลเป็นซี้ของอเมริกา อเมริกาเป็นพวกกับอังกฤษ มันเป็นวงจรที่พัวพันแกะไม่ออกกระนั้นหรือ นัสเซอร์เริ่มหน่าย
เมื่ออเมริกาสนับสนุนยิวให้กระทุ้งจมูกอียิปต์บ่อยๆ อียิปต์ก็หันไปหารัสเซีย ศัตรูของอเมริกาบ้าง เป็นการแก้แค้น
รัสเซียตอบสนอง ให้การสนับสนุนอียิปต์ด้านการทหาร คราวนี้อเมริกาเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง และก็เป็นตามนิสัยสันดาน หงุดหงิดแล้วต้องแสดงอำนาจ อเมริการะงับการปล่อยเงินกู้สำหรับเขื่อนอัสวาน และสั่งให้อังกฤษหยุดปล่อยเงินกู้เช่นเดียวกัน อังกฤษไม่ขัดใจอเมริกา เพราะอังกฤษก็กำลังขัดใจนัสเซอร์และนัสเซอร์ก็เลยขัดใจบ้าง เลยประกาศยึดหุ้นคลองสุเอซทั้งหมดกลับมาเป็นของรัฐ
คราวนี้อังกฤษขัดใจหนักกว่า ส่งกองทัพมาบุกอียิปต์ เดือนตุลาคม ค.ศ.1956 สงครามสุเอซ (Suez war) ก็เกิดขึ้น ฝั่งอังกฤษเช็คชื่อแล้วมาพร้อมหน้าทั้งอเมริกา ฝรั่งเศส และอิสราเอล นัสเซอร์ก็หันกลับไปยุอัลจีเรีย ให้ต่อต้านฝรั่งเศส ในที่สุดสงครามสุเอซก็สงบ กองทัพนัสเซอร์น่วม แต่นัสเซอร์ไม่คืนหุ้นและอียิปต์ก็ครอบครองคลองสุเอซแต่ผู้เดียว เป็นสมบัติของประเทศอียิปต์อย่างเต็มภาคภูมิ และก็ทำให้อังกฤษตัดใจได้ในที่สุด ที่จะล้างมือจากอียิปต์ ผลประโยชน์ที่ได้ มีไม่มากพอ ขุดเขามาจนเกลี้ยงแล้ว ไปหาเหยื่อที่มีน้ำมันต่อดีกว่า
แล้วอังกฤษก็ทิ้งอียิปต์ไปดื้อๆเช่นนั้น
(ตีพิมพ์ใน เล่ม 4 ‘เหยื่อ 3 ต้มไม่เสร็จ’ หน้า 111)