ตอน 1
เรามักจะได้ยินการกล่าวถึงยิว ในเชิงลบมากกว่าบวก สำหรับเราส่วนใหญ่ในแดนสยาม ชาวยิวที่เราพอคุ้นหู รุ่นแรกๆ คือ ไชล๊อก พ่อค้าชาวยิว ในหนังสือเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแปลจาก The Merchant of Venice ของเชคสปียร์ เป็นหนังสืออ่านอยู่ในหลักสูตรกระทรวงศึกษา สำหรับชั้นมัธยม เมื่อประมาณกว่า 60 ปี มาแล้ว ผมก็ต้องเรียน และจำได้ว่า จะมีคำ พูดติดปากคนรุ่นผม เวลาใครเค็มจัด หรือเห็นแก่ตัว จะถูกเพื่อนด่าว่า อย่ายิวนักซิโว้ย หรือมึงนี่มันไช ล็อกจริง แสดงว่านิสัยชาวยิวที่โด่งดังในสมัยเชคสปียร์ และในสายตาของชาวอังกฤษ รวมทั้งในบ้านเรา ที่รู้จักยิวน้อยมาก คงไม่ได้นึกถึงชาวยิวในทาง “บวก”
ยิวถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทเกี่ยวกับ สงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอยู่เสมอ แน่นอน มันไม่ใช่บท บาททางสร้างสันติภาพ หรือประนีประนอม แต่มันมักไปในทางจุดชนวน หรือสร้างกำไร และหาประโยชน์เสียมากกว่า
นักประวัติศาสตร์บางค่าย ถึงกับแจงว่า นิสัยทางลบของชาวยิวนั้น เป็นมาตั้งแต่สมัยยิวรุ่นแรกๆย้อนไปถึง โจเซฟ บุตรของเจคอบ ที่ถูกขายเป็นทาสตั้งแต่สมัยฟาโรห์ของอียิปต์นั่นเชียว
โจเซฟ ทำงานเข้าตานายทาส จนฟาโรห์เรียกไปใช้งาน ให้เป็นหัวหน้าทาส เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง อดอยากกันไปทั่วเมือง ชาวนาก็กระด้างกระเดื่องไม่ยอมทำนา จนกว่าจะมีอาหารมาให้กิน โจเซฟจึงจัด การแบบลูกโหด ใช้นโยบายเอาที่ดินกับปศุสัตว์มาแลกกับอาหาร ชาวนาทนอดอยากไม่ไหว ยอมขายนา ขายสัตว์ราคาถูก แลกกับอาหาร แล้วโจเซฟก็เปลี่ยนสถานะ จากทาส เป็นคนรวย ด้วยนโยบาย “สร้างความรวยจากความหายนะของผู้อื่น” ต้นแบบที่มีผู้ใช้ตามแยะ
เวลาผ่านไป ชาวยิวยิ่งสร้างชื่อเสียงว่า เป็นผู้ถนัดสร้างความวุ่นวาย ทางการเมือง และเป็นนักฉวยโอ กาส จนจักรพรรดิคลอดิอุสของโรมัน ออกประกาศว่า ชาวยิวจากเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นต้นเชื้อแห่งความวุ่นวายที่ระบาดไปจนทั่วโลก และในที่สุด ก็ประกาศขับไล่ชาวยิวออกไปจากโรม แต่ชาวยิวก็ไปก่อความวุ่นวายในนครเยรูซาเลมต่อ ครั้งแล้วครั้งเล่า และแสดงอาการเป็นศัตรูกับโรมอย่างเปิดเผย โรมถึงกับด่าชาวยิวว่า เป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างแต่ความจัญไรให้แก่ผู้อื่น (Quintilian, a race which is a curse to other) หรือเผ่าพันธุ์ที่ถูกสาปแช่ง (Seneca, an accursed race)
มาจนถึงสมัยยุคกลาง (Middle Ages) จนถึงยุคเกิดใหม่ (Renaissance) ชื่อเสียงเชิงลบของชาวยิวก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในปี ค.ศ.1770 บรรดานักปราชญ์ ชื่อดังของยุโรป ต่างออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับชาว ยิว
บารอน เดอ โฮล์บัค (Baron d’Holbach) นักปราชญ์และนักเขียน ชาวฝรั่งเศส/เยอรมัน) กล่าวว่า ชาวยิวสร้างตนเองขึ้นมาจากการฆ่าฟัน จากความอยุติธรรม ความโหดร้าย ความเอาเปรียบ และความอดอยากของผู้อื่น
ส่วนวอลแตร์ (Voltaire) (นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส) บอกว่า เขาจะไม่แปลกใจเลยว่า
คนพวกนี้ วันหนึ่งจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อันตรายยิ่งต่อมนุษยชาติ
ส่วนเอ็มมานูเอล คันท์ (Immanuel Kant) (นักปราชญ์ชาวเยอรมัน) บอกว่า
ชาวยิว เป็นชาติพันธุ์แห่งการหลอกลวง
และจากข้อสังเกตหรือความเห็น ของผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับชาวยิว ส่วนใหญ่ก็สรุปไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศตวรรษมาแล้ว ที่ชาวยิววุ่นวายอยู่กับการทำสงคราม การก่อความขัดแย้งทางสังคมการสร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ และทำกำไร จากสิ่งเหล่านั้น
ตอน 2
ดูจากจำนวนชาวยิวที่กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆ ซึ่งจะว่าไป มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาน่าจะเป็นพวกที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะกลับตาลปัตร ชาวยิวแสดงให้เห็นฤทธิ์เดชของพวกเขา ในการสร้างความวุ่นวายแก่สังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพวกตนได้อย่างมหัศจรรย์
ฤทธิ์เดชของชาวยิว ที่เข้ามามีส่วนสร้างสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีบันทึกให้เห็นอยู่ในประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ยิวเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในรัฐบาลอเมริกัน ปี ค.ศ.1845
ยิวรุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ในสภาสูงของอเมริกาคือ เลวิส เลวิน (Levis Levin) และเดวิด ยูลีล์ (David Yulee) ปี ค.ศ.1887 วอชิงตัน บาร์เล็ตต์ (Washington Barlette) ได้เป็นผู้ว่าการรัฐคาลิฟอร์เนีย และปี ค.ศ.1889 โซโลมอน เฮิร์ช (Solomon Hirsch) เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตของอเมริกา ไปประจำอยู่ที่อาณาจักรออตโตมาน โดยประธานาธิบดีแฮรี่สัน (Harrison)
ในส่วนอื่นของโลก เช่นที่รัสเซีย ยิวก็เป็นผู้เร่งอุณหภูมิในรัสเซีย ให้สูงขี้นอย่างมาก จากพวกที่ชอบก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีชาวยิวร่วมด้วย 2,3 คน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 2 (Alexander) สำเร็จ ในปี ค.ศ.1881 และเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวยิวถูกล้างแค้น โดนลอบสังหารเป็นประจำ ต่อเนื่องอีกเป็นสิบปี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และปี ค.ศ.1882 รัสเซียก็ออกกฎหมายที่เรียกว่า May Law of 1883 ห้ามชาวยิวอาศัยอยู่ และทำธุรกิจในบริเวณที่เรียกว่า Pale of Settlement พวกยิวจึงเริ่มอพยพออกจากรัสเซีย หนีกฎ Pale มุ่งหน้าไปเยอรมัน เป็นที่หมายแรก
ก่อนหน้าที่พวกชาวยิว ที่สร้างความปั่นป่วนในรัสเซีย จะมุ่งหน้ามาเยอรมัน ชาวยิวที่อยู่ในเยอรมันเอง ก็มีอิทธิพลในเยอรมันไม่น้อยแล้ว ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) ผู้ประพันธ์เพลงอมตะของเยอรมันยังออกปากว่า หนังสือพิมพ์ในเยอรมันอยู่ในมือชาวยิวเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ ยังมีเสียงเห็นพ้องกันว่า ทุกวันนี้พวก ยิว กลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของสังคมและการเมืองในเยอรมันไปแล้ว
ยิ่งช่วงปลาย ค.ศ.1800 ถึงต้น ค.ศ.1900 ดูเหมือนชาวยิวจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอีก จำนวนยิวที่เป็นกรรม การในบริษัทใหญ่ๆ หรืออยู่ในตำแหน่งบริหาร มีถึง 24% ในขณะที่ชาวยิวมีไม่เกิน 2 % ของจำนวนพล เมืองของเยอรมันทั้งหมด
แต่ที่สำคัญที่สุด คือ การกำเนิดของกลุ่มไซออนนิสต์ (Zionism) ซึ่ง เธโอดอร์ เฮอร์เซสล์ (Theodor Herzl) เป็นผู้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ.1897 หลักการพื้นฐานของ ไซออนนิสม์ ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Der Judenstaat (The Jewish State) สรุปคร่าวๆความคิดของเขา ที่บอกว่า ชาวยิวจะไม่มีวันพ้นจากการถูกข่มเหง ตราบใดที่ยังมีสถานะเป็นคนต่างชาติอยู่ในทุกๆแห่ง ดังนั้น ยิว จึงจำเป็นต้องมีรัฐของตนเอง พวกเขาหารือถึงสถานที่ต่างๆแต่ไม่ลงตัว จนเมื่อมีการประชุม World Zionist Organization ครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1897 ก็ได้ข้อยุติว่า มันควรเป็นปาเลสไตน์ (Palestine)
แต่มันมีปัญหาว่า บริเวณดังกล่าวอยู่ในอาณัติของอาณาจักรออตโตมาน และประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็น มุสลิม และคริสเตียนอาหรับ ถึงกระนั้นพวกไซออนนิสต์ ก็ตั้งใจว่า พวกเขาจะไปปักหลักที่นั่น ยึดปาเลสไตน์มาจากออตโตมานให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก็วิธีหนึ่ง มันดูเหมือนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นจนน่าตกใจ
พวกเขาคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้มันเป็น ไปได้ ก็โดยต้องใช้กำลังเท่านั้น และมันต้องใช้ผ่านสถาน การณ์ที่เป็นวิกฤติเช่น ผ่านการทำสงคราม ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสชักใย สร้างความได้เปรียบ และนั่น เป็นต้นกำเนิดของหลักการสร้างกำไรจากความหายนะ “profit through distress” มันจะทำได้จากทั้งภายใน และภายนอกประเทศ
ในประเทศที่มีชาวยิวมากพอ แต่มีอำนาจรัฐน้อย พวกเขาคิดใช้วิธีปลุกระดม สร้างความวุ่นวายภาย ในประเทศ และสำหรับประเทศที่พวกเขามีอำนาจ เขาจะใช้อำนาจนั้นสร้างความร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้น ไปกำหนดนโยบายของประเทศ ส่วนในประเทศที่พวกเขาไม่มีทั้งจำนวนประชาชน และไม่มีอำนาจ เขาก็จะใช้อำนาจจากภายนอก มากดดัน ให้ได้การสนับสนุนเพื่อวัตถุประสงค์ของพวกเขา
พวกไซออนนิสต์เอาจริงกับยุทธศาสตร์ ป่วนข้างใน/ ปั่นข้างนอก internal/external ตามคำพูดของเฮอร์เซสล์ (Herzl) ที่เขียนไว้เองว่า
“When we sink, we become a revolutionary proletariat, the subordinate officers of the revolutionary party; when we rise, there rises also our terrible power of purse”
เมื่อเราล่ม เราจะกลายเป็นกรรมกรผู้ปฏิวัติ ผู้สนับสนุนของพรรคปฏิวัติ
เมื่อเรารุ่ง เงินในกระเป๋าของเรา ก็จะแสดงอำนาจอันร้ายกาจออกมาด้วย
อันที่จริง เฮอร์เซสล์ ได้คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำว่า จะต้องเกิดสงครามโลก ไซออนนิสต์รุ่นแรก ลิตมันน์ โรเซนทาล (Littman Rosenthal) เขียนไว้ในบันทึกของเขา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ.1914 ว่า เขาจำได้ถึงการสนทนากับเฮอร์เซสล์ เมื่อปี ค.ศ.1897 ซึ่งเขาอ้างว่า เฮอร์เซสล์ พูดว่า:
“….ตุรกีอาจปฏิเสธ หรือไม่ยอมเข้าใจเรา เราจะต้องไม่ถอดใจ เราจะต้องหาทางที่จะได้ตามที่เราต้อง การ ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามในยุโรปจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ผมจะถือนาฬิกาคอยดูเวลาหายนะนั้น หลังจากสงครามจบสิ้น การประชุมเพื่อสันติภาพจะต้องเกิดขึ้น เราจะ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลานั้น เราจะต้องทำให้เขาเชิญเราเข้าไปร่วมการประชุมกับประเทศต่างๆ และเราจะต้องพิสูจน์ ให้เขาเห็นถึงทางออกที่สำคัญเร่งด่วน ของพวกไซออนนิสต์ ที่เขาจะต้องตอบกับชาวยิว…”
พวกยิวเอาจริงกับการดำเนินการตามแผนข้างต้น พวกเขาเดินหน้าเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่เขาเกลียดชัง และพยายามที่จะก่อความวุ่นวายในออตโตมานด้วย ส่วนในเยอรมัน ในอังกฤษ และ อเมริกา พวกเขาใช้อำนาจเงินอันร้ายกาจในกระเป๋า อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะให้มีการนำทางไปสู่นโยบาย ที่จะต้องมีจัดการระเบียบของโลกเสียใหม่ ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาพยายามตัดตอนพวกที่คัดค้าน ขวางทางพวกเขา แต่ให้การสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา พร้อมกับเพิ่มความมั่งคั่งให้พวกยิวด้วยกัน
ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การจัดตั้ง รัฐปาเลสไตน์ ที่จะเป็นศูนย์กลางของยิวทั่วโลก
การปฏิวัติและสงคราม จึงเป็นภารกิจเร่งด่วน อันดับแรกของพวกเขา
ตอน 3
ในปี ค.ศ.1880 มีชาวยิวในอเมริกาประมาณ 250,000 คน (0.5%) แต่พอถึงปี ค.ศ.1900 เพียง 20 ปี ต่อมา ตัวเลขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านคน และในปี ค.ศ.1918 เพิ่มเป็น 3 ล้านคน และอิทธิพลทางการเมืองของชาวยิว ก็เพิ่มขึ้นในอเมริกา อย่างมากมายเช่นเดียวกัน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่ยิวเร่งลดน้ำพรวนดินแผ่อิทธิพลในอเมริกา ปี ค.ศ.1901 ประธานาธิบดี วิลเลี่ยม แมคเคนลีย์ (William McKinley) ถูกยิงตาย โดยชาวโปลหัวรุนแรงชื่อลีออง ซอลเกซ (Leon Czolgosz) ซึ่งถูกปั่นหัว โดยชาวยิวที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย 2 คน คือ เอ็มม่า โกล์ดมันน์ (Emma Goldman) และ อเล็กซานเดอร์ แบกค์มัน (Alexander Berkman) และผู้ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทนคือ รองประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ (Theodore Roosevelt) ซึ่งขณะนั้น อายุเพียง 42 ปี นับ เป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เรื่องนี้น่าสนใจ
รูสเวลท์ชื่อดังขึ้นมาจากบทบาทของทหารเรือหนุ่ม ที่ไปรบชนะสเปนที่คิวบา ในปี ค.ศ.1898 และด้วยแรงสนับสนุนสุดตัวของกลุ่มชาวยิว ในปี 1900 เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ผู้ว่าการนครนิวยอร์ค และในปีเดียวกันนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี น่าสนในหนักขึ้นไปอีก
รูสเวลท์ เป็นยิวหรือเปล่า เจ้าตัวไม่เคยตอบรับ หรือตอบปฏิเสธ แต่น่าสนใจว่า รูสเวลท์ อาจเป็นเด็กสร้างของยิวคือ หลังเขาได้เป็นขึ้นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1901 โดยเหตุการณ์บังคับหรือจัดตั้งก็ตาม ในปี ค.ศ.1904 เขาลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยความสมัครใจ และก็ได้รับเลือกตั้งสมใจ
และประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกชื่อ ออสการ์ สเตราส์ (Oscar Straus) ว่าเป็นชาวยิวคนแรก ที่ได้รับแต่ง ตั้งให้เข้าร่วมรัฐบาลของอเมริกา จากการสนับสนุนเต็มตัวของรูสเวลท์ และในฐานะเป็นรัฐมนตรีดูแลด้านแรงงานและพาณิชย์ สเตราส์เอาหน่วยงานด้านคนเข้าเมือง มาดูแลเอง และช่วงนั้นก็กลายเป็นช่วงที่จำนวนชาวยิวอพยพ มายังอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงสุด หลังจากนั้น สเตราส์ก็ได้ไปเป็นทูตอเมริกาประจำออตโตมาน เหมือนกับจะได้ให้เขาไปสำรวจปาเลสไตน์ทุกซอกมุม ก่อนวางแผนยึดเอามาครองให้เป็นของชาวยิว
อำนาจเงินอันร้ายกาจของชาวยิว แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ในปี ค.ศ.1912 เมื่อรูสเวลท์ ปฏิเสธที่จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกรอบ แต่สนับสนุนให้ วิลเลี่ยม ทัฟท์ (William Taft) รัฐมนตรีกลาโหม สมัยรัฐบาลเขา และเป็นได้วิลเลี่ยม ทัฟท์ (William Taft) ลงสมัครต่ออีกวาระ แต่ปรากฏว่ามีพวกลิพับลิกัน เรียกร้องให้ รูสเวลท์ ลงสมัครด้วย ตามธรรมเนียม ก็ต้องเสนอชื่อประธานาธิบดีในตำแหน่งคือ ทัฟท์ ต่อไป แต่รูสเวลท์ก็ดันเล่นตลก ลงสมัครในนามพรรคที่ 3 ปี ค.ศ.1912 ด้วย จึงกลายเป็นเรื่องที่พิลึกมาก ของประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของอเมริกา ที่มีประธานาธิบดีทัฟท์ (Taft) ลงสมัครเป็นสมัยที่ 2 ส่วนรูสเวลท์ ลงสมัครเป็นคู่แข่งจากพรรคที่ 3 และมีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) สมัครสมัยแรกในนามพรรคเดโมแครต
สำหรับชาวบ้านคงงง ที่ได้เห็นอดีตประธานาธิบดีกับประธานาธิบดี ที่อยู่ในตำแหน่งแข่งกับวิลสัน ตัวแทนของเดโมแครตสมัยแรก และผลก็เป็นที่รู้กันว่า วิลสันชนะเลือกตั้งครั้งนั้น และครั้งต่อไปในปีค.ศ.1916 อีกสมัย เพื่อทำหน้าที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ ก่อน ระหว่าง และหลัง สงคราม
ชาวบ้านคงไม่รู้ว่า ผู้สมัครทั้ง 3 คน ได้รับการสนับสนุน จากกระเป๋าเงินอันมีอำนาจร้ายกาจ ของพวก ยิวทั้งหมด เพราะฉะนั้น ใครได้เป็นประธานาธิบดีคงไม่สำคัญ สำคัญว่าจะต้องมาจัดการทำหน้าที่เกี่ยว กับสงครามโลกให้ครบถ้วนตามใบสั่งมากกว่า
เรื่องนี้อยู่ในรายงานของเฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ชื่อ Dearborn Independent ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับคำให้การในรัฐสภา เมื่อ ปี ค.ศ.1914 ของพอล วอร์เบิร์ก (Paul Warburg) นายธนาคารชาวยิว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เจ้าพ่อ Federal Reserve” หุ้นส่วนของคูน โลบ แอนด์ โค (Kuhn, Loeb & Co) ซึ่งสรุปว่า พอล วอร์เบิร์ก ให้การว่า หุ้นส่วนคนหนึ่งของ คูน โลบ (Kuhn Loeb) ให้เงินสนับสนุนรูสเวลท์
ส่วนเฟลิกซ์ น้องของพอล (ซึ่งก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งเช่นกัน) ให้เงินสนับสนุนทัฟท์ ส่วนเจคอบ ชิฟฟ์ (Jacob Schiff) หุ้นส่วนใหญ่ตัวแสบ ให้เงินสนับสนุนวิลสัน
คำให้การนี้ทำให้เห็นการทำงานของยิว เหนือผู้สมัครทั้ง 3 คน คนใดชนะเลือกตั้ง ยิวก็ชนะด้วย พวกเขาแทงม้าทุกตัวจริงๆ
แม้ในขณะนั้นเรายังไม่เห็นหลักฐานกันชัดเจนว่า ยิวสนับสนุนรูสเวลท์อย่างไร แต่การแต่งตั้ง สเตราส์ (Straus) ให้คุมเรื่องการเข้าเมือง และพวกยิวก็ทะลักเข้าไปเต็มอเมริกาในช่วงนั้น ก็พอทำให้เราเห็นภาพได้พอสมควร
ส่วนกรณีของทัฟท์ซึ่งเป็นผู้ส่งออก สเตราส์ไปเป็นทูตที่ออตโตมาน และแม้ยิวก็ยังไหลเข้ามาในอเมริกาอย่างมากมายต่อเนื่อง แต่ ทัฟท์ ก็ยังเล่นบทไม่สมใจนายทุน ในเรื่องของชาวยิวที่อยู่ต่างประเทศ โดย เฉพาะปัญหาเกี่ยวกับชาวยิวที่อยู่ในรัสเซีย
สื่ออเมริกัน ซึ่งแน่นอนอยู่ในมือของพวกยิว พากันลงข่าวใส่สีเข้มข้นเช่น Time รายงานว่า ชาวยิวถูกเชือดยังกับเชือดแกะ, เด็กยิวถูกรุมทิ้งโดยกลุ่มชนกระหายเลือด, จำนวนชาวยิวที่ถูกฆ่าสูงขึ้นทุกวัน ฯลฯ ในที่สุดนายกรัฐมนตรีรัสเซีย นายพียอร์ สโตลิพิน (Pyotr Stolypin) ก็ถูกยิงตาย โดยชาวยิวชื่อ มอร์เดอร์ไค เกิร์ชโควิช (Mordekhai Gershkovich) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดีมิทรี บอกรอฟ (Dmitri Bogrov) ยิ่งทำให้การตอบโต้ระหว่าง ยิว/รัสเซีย เลวร้ายลงไปกว่าเดิม
ตอน 4
แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในรัสเซียเพิ่มขึ้น แต่พวกยิวในอเมริกาเห็นว่ายังแรงไม่พอ ยิวไซออนนิสต์อ้างว่า มีการปิดกั้นไม่ให้ชาวยิวที่อยู่ในอเมริกา เดินทางเข้าไปในรัสเซีย การปิดกั้นนี่เริ่มมาพักใหญ่แล้วนะ และก็เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคประธานาธิบดีทัฟท์ นี่แหละ ทัฟท์ควรทำอะไรเสียบ้าง เสียงนาย ทุนยิวฟ่อใส่ แต่ทัฟท์ คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เพราะอเมริกากับรัสเซีย มีสนธิสัญญาต่างตอบแทนระหว่างกัน เรื่องการพาณิชย์และการเดินเรืออย่างเสรี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1832 ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีสิทธิในการกำหนดจำนวนการเข้าออกประเทศ แก่พลเมืองของทั้ง 2 ประเทศ
ไซออนนิสต์ ใช้บทกดดันรัสเซียจากภายนอก ถ้างั้น อเมริกาก็ยกเลิกสนธิสัญญานี้เลยซิ แล้วไซออนนิสต์ก็ทำสำเร็จ โดยการจัดการของพวกยิวกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คน ที่นำโดยทนายชาวยิว หลุยส์ มาร์แชลล์ (Louis Marshall) นักการเงินชาวยิว เจคอบ ชิฟฟ์ (Jacob Schiff) และพรรคพวกจาก American Jewish Committee ซึ่งมีพลังอย่างยิ่งในตอนนั้น และมีมาถึงตอนนี้
พวกเขายกประเด็นเรื่องยกเลิกสนธิสัญญานี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1908 แต่มาจับขาบีบเข่าถาม ชิฟฟ์ เอาจริง จังในปี ค.ศ.1910 เมื่อตอนที่ ทัฟท์ เตรียมตัวจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 เราสามารถจัดให้ชาวยิวลงคะแนนเสียงให้ท่านได้นะ แต่ท่านจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเรา (quid pro quo)
ทัฟท์ เห็นว่าข้อเสนอของพวกยิว ที่จะให้ยกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับอเมริกาเลย เขาทำท่าไม่รับลูกที่ยิวโยนมา
พวกยิวไม่ยอมหยุด ปี ค.ศ.1911 มาร์แชล (Marshall) เริ่มโหมประเด็นนี้ใหม่ คราวนี้เขาบอกว่า การที่อเมริกายอมให้รัสเซีย ห้ามยิวอเมริกาเข้าประเทศ ไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นคนยิวหรอกนะ แต่มันเป็นการดูหมิ่นคนอเมริกัน แล้วสื่อกระป๋องสี ยี่ห้อยิว ก็ช่วยกันประโคมข่าว โดยมี ซามัวแอล สเตราส์ (Samuel Straus) เป็นหัวหอก นำล่ารายชื่อ ทำหนังสือกดดันไปถึงรัฐสภา ยอดเยี่ยมจริงๆ
แต่ทัฟท์ก็ยังไม่ยอมอ่อนอยู่ในมือยิวง่ายๆ เขาบอกว่า มีอเมริกันยิวอยู่ในรัสเซีย เพียง 28 คนเท่านั้น และมีคนอเมริกันยิว ที่ถูกรัสเซียปฏิเสธการเข้าเมืองก็แค่ 4 คน ใน 5 ปี! จะเบ่งอะไรกันนักหนา! แต่พวกยิวก็ไม่ยอมเลิกรา เดินหน้าลุยไม่หยุด เหมือนต้องการทดสอบอำนาจของตัว แล้วก็เป็นเรื่องเหลือ เชื่อว่าในที่สุด พวกยิวก็ทำสำเร็จ
เป็นชิฟฟ์ที่ไปจูงทัฟท์เดินมาที่ทางออก เขาบอก ทัฟท์ว่า ท่านก็แค่ลงชื่อในคำขอมติจากรัฐสภา ที่เหลือเป็นเรื่องของเรา แล้ววันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1911 รัฐสภาก็เห็นชอบให้อเมริกาบอกเลิกสนธิ สัญญากับรัสเซีย ด้วยคะแนนเสียง 301 ต่อ 1 เสียงค้าน และเมื่อเรื่องส่งถึงวุฒิสภา มีการแก้ไขเล็กน้อย และวุฒิสมาชิกก็ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ.1911 ให้ดำเนินการตามที่รัฐสภาเสนอ (ผมอ่านบทความนี้ แล้วก็แปลกใจมากว่า ทัฟท์ ถูกบีบจากอะไร และบีบตรงไหน แต่ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมไม่เจอ)
รัสเซียถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกกับการตัดสินใจของอเมริกา รัสเซียรู้ว่าเรื่องมาจากการผลักดัน ของพวกยิว แต่รัสเซียนึกไม่ถึงว่าอเมริกา “อยู่มือ” พวกยิวถึงขนาดนั้นแล้ว และการปฏิวัติรัสเซีย โดยพวกบอลเชวิก ที่นำโดยชาวยิว ก็เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นประมาณ 6 ปี หลังจากการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า “ผ่าน”
ตอน 5
นี่เล่ามาข้างต้น เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดีชื่อ วูดโรว์ วิลสัน ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว
วิลสัน นั้นเป็นที่รู้กันว่า เขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว วิลสันรู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงินและการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน
พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามันสร้างฐานอำนาจในปี ค.ศ.1912 เรียบ ร้อย เฮอร์เซสล์อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมณ์ของเขาดูเหมือนจะดำ เนินการไม่พลาดเป้าหมายที่เฮอร์เซสล์กำหนดไว้
-ออสการ์ สเตราส์ (Oscar Straus) ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขา ได้ในสมัย ประธานาธิบดี รูสเวลท์ และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของทัฟท์ (Taft)
-เจคอบ ชิฟฟ์ (Jacob Schiff) หัวหน้าใหญ่ของบริษัทการเงินคูน โลบ (Kuhn, Loeb) รายนี้คงไม่ต้อง บรรยายสรรพคุณ
-หลุยส์ มาร์แชลล์ (Louis Marshall) ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
-พี่น้องตระกูลวอร์เบิร์ก (Warburg) พอล, เฟลิกซ์ และแม็กซ์ ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
-เฮนรี่ มอร์เกนเทาว์ ซีเนียร์ (Henry Morgenthau, Sr.) ทนายความพ่อของเฮนรี่ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
-หลุยส์ แบรนด์ไดซ์ (Louis Brandeis) ทนายความไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
-ซามัวแอล อุนเธอร์ไมเออร์ (Samuel) ทนายความเขี้ยวยาว
-แบนนาร์ด บารุค (Bernard Baruch) นักการเงินจากวอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
-สเตฟาน ไวซ์ (Stephen Wise) นักบวชยิวออสเตรียนและไซออนนิสต์เข้มข้น
-ริชาร์ด ก็อท์ทฮีล (Richard Gottheil) นักบวชยิวอังกฤษและไซออนนิสต์
นี่เป็นเครือข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย
พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของกระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วยวิลสันคือ เฮนรี่ มอร์เกนเทาว์, เจคอบ ชิฟฟ์, ซามัวแอล อุนเธอร์ไมเออร์และหน้าใหม่แต่มาแรงคือ แบนนาร์ด บารุค (Bernard Baruch) ส่วนบทบาทของวอร์เบิร์ก นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา ต้องยอมรับว่า มันเป็นผลงานของพอล วอร์เบิร์ก ล้วนๆ
มอร์เกนเทาว์สนับสนุนม้าชื่อ วิลสัน ตั้งแต่วิลสันยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแลวิลสัน เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า มอร์เกนเทาว์สนับสนุนวิลสันแบบไม่มีอั้น และเมื่อวิลสัน ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1912 เขาก็ตอบแทนมอร์เกนเทาว์แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน มอร์เกนเทาว์ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาดเพื่อดูแลปาเลสไตน์
ส่วนหลุยส์ แบรนด์ไดซ์ (Louise Brandis) ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวง การยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อวิลสัน ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่สนับสนุนวิลสันมาขอพบคือ ซามัวแอล อุนเธอร์ไมเออร์ (Samuel Untermeyer) ซึ่งเป็นทนายของสำนักงาน Guggenheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฎหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
อุนเธอร์ไมเออร์บอกกับวิลสันว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยาของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย พรินสตัน (Princeton) ช่วงเดียวกับที่วิลสันสอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับวิลสันว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้องวิลสัน เรื่องการผิดสัญญา แล้วมอร์เกนเทาว์ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ยื่นให้วิลสัน มันเป็นจดหมายที่วิลสัน เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงานวิลสัน จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา มอร์เกนเทาว์บอก ไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อไหร่ ขอให้แต่งตั้งไซออนนิสต์ ยิวเคร่งชื่อ หลุยส์ เดมบิตซ์ส แบรนด์ไดซ์ (Louise Dembitz Brandeis) ก็แล้วกัน วิลสันก็รับปาก หลังจากนั้นไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ.1915 หลุยส์ แบรนด์ไดซ์ ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง
แต่คนที่ได้ตำแหน่งและมีบทบาทโดดเด่นที่สุดคือ แบนนาร์ด บารุค (Bernard Baruch) ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 บารุคโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี ค.ศ.1915อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง บารุคเตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่า อเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด
และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเสก บารุคได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี ค.ศ.1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณะกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และบารุค คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุมและกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม
ในคำให้การของ บารุค ต่อวุฒิสมาชิกอัลเบิร์ต เจฟฟรีส์ (Albert Jefferies) เขาสรุปบทบาทของเขาดัง นี้:
“…ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหนได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดีมอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจว่า กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือการรถไฟควรมีอะไร หรือฝ่ายสัมพันธมิตร หรือท่านนายพลอัลเลนบี้ (Allenby) ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอกว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการ เมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 เมื่อแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์เป็นประธานาธิบดี บารุคในฐานะหัวหน้าสำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่าและในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด
วินสตัน เชอร์ชิลล์ ของอังกฤษด้วย “บาร์นี่ Barney” ก็กลายเป็นชื่อที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา
ตอน 6
สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลางโดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี ค.ศ.1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้นโยบายเป็นกลางอยู่ต่อไปอีกเกือบ 2 ปีครึ่ง
สุนทรพจน์ของวิลสัน เมื่อวันที่ 19สิงหาคม ค.ศ.1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกันว่า “…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียงที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี ค.ศ.1916 คำขวัญของวิลสันที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่
แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1917 วิลสันก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกะทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบายที่วงในรัฐบาลสั่งให้ สื่อกระป๋องสีตรายิวช่วยกันโหมคือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อวิลสัน ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสม ควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล็อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone
แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆ มันคืออะไรกันแน่
วุฒิสมาชิกจอร์จ นอร์ริส (George Norris) บอกว่า คนอเมริกันถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่ นอน พวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มาก มายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ… เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …
อำนาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของ จำนวนพล เมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุด ชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็นคือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี ค.ศ.1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครองและควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม
ตอน 7
ปี ค.ศ.1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของวูดโรว์ วิลสัน ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกเพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ
บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่เมื่อปี ค.ศ.1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยเฉเพาะในการโค่นล้มพระเจ้าซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริม สร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น
หลอดวินสตัน เชอร์ชิล ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า …อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ… และ ในปี ค.ศ.1920 เชอร์ชิล ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก เชอร์ชิลบอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์
หลอดวินสตัน ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกันพวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์ กระเป๋าหนัก
ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declaration ในวันที่ 2ธันวาคมอาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน
Balfour Declaration เป็นจดหมายจากอาเธอร์ เจมส์ บัลฟอร์ (Arthur James Balfour) รัฐมนตรีว่า การกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึงบารอน รอธไชลด์ (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ใช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง!!!
ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่น ให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก…
ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว
ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร
เริ่มตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความ เห็นของหลอดเชอร์ชิล ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยเฉพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก
ปลายปี ค.ศ.1916 เจมส์ มัลคอล์ม (James Malcolm) ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวก ยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง
อังกฤษไม่คิดนาน เมื่อเดวิด ลอยด์ จอร์จ (David Lloyd George) ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1916 เขาสั่งการทันที
ลอยด์ จอร์จ เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา เซอร์มาร์ค ไซค์ส (Sir Mark Sykes) และหลอดอาร์เธอร์ เบลฟอร์(Arthur Balfour) ไปคุยกับพวกยิวทันที
ไซค์ส หลบไปจับเข่าไวซ์มันน์ และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกันพวกยิวก็ปล่อยข่าวว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระ ฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด
ในที่สุดร่างแรกของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1917 แต่เป็นฝีมือร่างของแบรนด์ไดซ์ (Brandeis) ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูงคนแรกของอเมริกา สนุกดี ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ เขียนข้ามประเทศเลยและร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม
เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย
ตอน 8
เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ
สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ
เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว ทัฟท์และวิลสัน ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดย เฉพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิว อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา
เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทด แทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก
เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซียที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยพระเจ้าซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดพระเจ้าซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดยพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 Kaiser Wilhelm ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน ก็เปลี่ยนเป็นรัฐบาลไวมาร์ (Weimar) นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร
เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาลวิลสันของแบนนาร์ด บารุค ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไรและขนาดไหน
เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย
หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม ค.ศ.1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น
ทีมยิวของวิลสัน คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ ยิวหรือไง… ยิวคนไหน นู่น… ยิวแบรนด์ไดซ์ไง ที่ไปจูงวิลสัน ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าหยิ่ง บัญชาการรบแทน
ไม่ใช่แค่ทีมยิวของวิลสันเท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอนอยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา
เล่นเอาอังกฤษหงุดหงิด… เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมดก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน
งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษใช้ลงทุนต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ
อเมริกาอมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกันว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม… สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม… จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1…ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ… มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย….
มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น
และถ้าสังเกตกันอีกนิดจะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักรหรือจักรวรรดิเก่าแก่ล่มสลายไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุนที่เป็นชีวิตของพล เมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ
ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหารและบ้านเมืองเลย
ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า ยิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงคราม โลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ
ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน
จบแล้วครับ ทั้งนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ ตอนส่งท้าย ตอนท้ายเรื่อง และของแถม เรื่องฤทธิ์ยิว