แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

ต้มข้ามศตวรรษ

นำเรื่อง 1

จากประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งทั้งเขียนทั้งแต่ง และคนไทยเอามาแปล เป็นทั้งหนังสืออ่านและบทเรียนประวัติศาสตร์สากล ทำให้เราเข้าใจ และเชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ลอบฆ่าอาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี โดยชาวเซอรเบีย ที่เซราเจโว เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1914

มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสายชนวนเส้นหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 1 จริง แต่มันไม่ใช่ “สาเหตุ” แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามโลก แม้เหตุการณ์นั้น จะทำให้ออสเตรียโกรธจัด ควันออกหูก็ตาม

ออสเตรียกับเซอร์เบียนั้น ขบเขี้ยวกันมานานแล้ว เนื่องจากออสเตรียซึ่งตอนนั้นคิดว่าตนเองกล้ามใหญ่ ไปผนวกเอาบอสเนียและเฮอเซโกวีนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน มาเป็นของตน ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1878 ทำให้เซอร์เบีย ซึ่งถือว่าบอสเนียเป็นพวกเดียวกันตัว เป็นเดือดเป็นแค้นแทน และเอาความแค้นไปฝากใส่หูรัสเซียเอาไว้ ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของพวกสลาฟ และกลุ่มนิกายออโธดอกซ์

หลังจากมีการเจรจา ที่มีเค้าว่าจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม อยู่ประมาณ 1 เดือน ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1914 ออสเตรียก็ประกาศสงครามกับเซอร์เบียรัฐเล็กกระจ้อย เพื่อให้รับผิดชอบการฆาตกรรมดังกล่าว …ออสเตรียเชื่อว่า ตัวจะได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมัน ถ้าหากรัสเซียออกมาหนุนหลังให้เซอร์เบีย

แต่ออสเตรียคงต้องลุ้นหนักหน่อย ว่า เยอรมันจะมาช่วยทันไหม

เพราะวันรุ่งขึ้น 29 กรกฎาคม ค.ศ.1914 รัสเซียก็ประกาศระดมพล เตรียมตัวรบแล้ว

ในวันเดียวกันนั้น พระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมัน ก็ส่งโทรเลขไปหาพระเจ้าซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ขอร้องไม่ให้เรียกระดมพล เพราะยังมีไมตรีต่อกันฉันท์ญาติ พระเจ้าซาร์  จึงระงับคำสั่งระดมพลไว้ชั่วคราว… แต่ฝ่ายกองทัพของรัสเซียไม่ชอบใจ ที่พระเจ้าซาร์ออกอาการลังเล …วันรุ่งขึ้น 30 กรกฎาคม จึงพากันเดินตบเท้า เข้าไปกล่อม แกมบีบให้พระเจ้าซาร์มีคำสั่งระดมพลต่อ

คงมีใครอยากรบเต็มที่วันที่ 31 กรกฎาคม ทูตเยอรมันประจำเมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) ก็เข้าไปพบพระเจ้าซาร์ และยื่นหนังสือของเยอรมัน ที่ประกาศสงครามต่อรัสเซีย หลัง จากนั้นก็เอามือปิดหน้าด้วยความเสียใจ และเดินออกไปจากห้อง 

ไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนอยากทำสงคราม โดยเฉพาะกับรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูกับเยอรมัน

ขณะเดียวกันเยอรมันซึ่งรู้ว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียมีสัญญาให้การร่วมมือกันทางกองทัพ จึงตัดสินใจว่าจะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ให้ฝรั่งเศสหมอบราบเสียก่อนที่รัสเซียจะขยับมาช่วยทัน เพราะเยอรมันคาดว่า รัสเซียน่าจะใช้เวลานานในการระดมพล ขณะนั้นกองทัพของรัสเซีย มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป …วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ.1914 เยอรมันจึงรีบประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอีกราย  หลังจากนั้นเยอรมันก็เคลื่อนพลเข้าไปในเบลเยี่ยม เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปโจมตีฝรั่งเศส

อังกฤษคงกลัวน้อยหน้า เดี๋ยวเขาจะว่าเก่งแต่ปาก …วันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 อังกฤษจึงรีบประกาศ สงครามกับเยอรมันบ้าง โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อปกป้องความเป็นกลางของเบลเยี่ยม เป็นการอ้างเหตุผลการเข้าสงครามที่ตอแหลอย่างน่าทุเรศ

เหตุผลจริงของอังกฤษในการทำสงคราม ชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะนึก

แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สถานะการเงินของอังกฤษ ขณะตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั้น อังกฤษอยู่ในสภาพล้มละลาย

 

ถังแตกขนาดนั้น ทำไมอังกฤษยังคิดทำสงคราม และทำได้อย่างไร

นำเรื่อง 2

ประมาณปี ค.ศ.1890 อังกฤษ แม้จะอยู่บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย ของเท้าซ้าย แต่ก็สร้างเสริมตน เอง ด้วยความฉลาด เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมพราวและความชั่วร้าย จนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และการค้า และคิดเอาเองว่า ไม่มีใครจะกล้ามาทาบรัศมี …จักรภพอังกฤษอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปเกือบทั่วโลก จนดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพไม่ได้ …เมื่อคิดอย่างนั้น อังกฤษก็พยายามทำทุกอย่าง ที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง และเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรือให้นานที่สุดเท่าที่จะยืดคอทำได้

จะเอาโลกไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตนเองมีเสาหลัก หรือ มีอำนาจควบคุมใน 3 เรื่อง

– ควบคุมเส้นทางเดินเรือ

– ควบคุมระบบการเงินการธนาคาร

– ควบคุม หรือครอบครองทรัพยากรที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน

เสาหลักแรก : การควบคุมเส้นทางเดินเรือ อังกฤษทำได้สำเร็จ โดยใช้บริษัทประกันภัยใหญ่หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ ลอยด์ (Lloyd) ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับการใช้เครือข่ายของ ธนาคารอังกฤษเป็น ผู้วางกฎเกี่ยวกับการการขนส่งทางเรือ รวมทั้งใช้กองทัพเรือของตน ที่อังกฤษภูมิใจหนักหนาว่า ไม่มีใครเก่งเทียบ และไม่กล้าท้าทาย ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัย ให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่ง ถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับลอยด์ หรือคิดจะเสี่ยง กับการเจอภัยพิบัติกลางทะเล

มันดูไม่ต่างกับการขู่กรรโชกของโจรสลัด

สินเชื่อและตั๋วแลกเงิน ที่จำเป็นต้องออกให้แก่กันในการค้าขาย และขนส่งสินค้าทางเรือ  อังกฤษก็บีบให้คู่ค้า ทำผ่านธนาคารของอังกฤษ ซึ่งเป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bank of England ซึ่งก็เป็นผลผลิตของกลุ่มนักการเงินใน City of London ที่นำโดยเจ้าพ่อใหญ่ตระกูลรอธไชลด์ (Rothschild) และพวก เช่น แบร์ริ่ง (Barings), แฮมบรอส (Hambros) เป็นต้น

ประมาณปี ค.ศ.1900 อังกฤษยืนยืดอกแอ่น จนแทบหงายหลัง ประกาศว่า เรามีเสาหลักนี้ ตั้งตระหง่านเรียบร้อยแล้ว

เสาหลักที่สอง : การควบคุมระบบการเงินและระบบการธนาคาร อังกฤษวางแผนอย่างคร่ำเคร่ง แต่เงียบสนิท และผลของมัน ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญ อังกฤษเป็นตัวการสำคัญ ในการวางแผนอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกาในปี ค.ศ.1913 ..ที่เรารู้จักกันในนาม Federal Reserve Bank หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Fed …ซึ่งเป็นของเอกชน ไม่ใช่เป็นของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูล… ที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายของตระกูลรอธไชลด์ ของฝั่งอังกฤษ และตระกูลร้อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) และมอร์แกน (Morgan) ของฝั่งอเมริกา

Fed มีอำนาจมากมายและมีอิสระหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกัน โดย เฉพาะในการพิมพ์ธนบัตร การกำหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างสถาบัน ฯลฯ การตัดสินใจของ Fed มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเงินตลาดทุน ตลาดหุ้นของอเมริกาและของโลก แม้แต่สมันน้อยไทยแลนด์ ยังต้องคอยฟังว่า เฟดเขาว่าอะไร ฟังแล้ว รู้เรื่องจริงไหม เข้าใจไหม เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องคอยฟัง ต้องพูดถึง เพราะมันเข้าสมัยและผู้บริหารบ้านเราก็แสนฉลาด เดินทุกก้าวตามที่เฟด บอก

Fed จึงกลายเป็นตัวสำคัญในการชักใยการเงินโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของเสาหลักที่สอง ที่มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

เสาหลักที่สาม : ควบคุมหรือครอบครอง ทรัพยากรที่มีผลสำคัญต่อยุทธศาสตร์ ในความหมายของอังกฤษขณะนั้น และยังมีผลจนถึงขณะนี้ก็คือ น้ำมัน! ซึ่งไม่ใช่มีความหมายเฉพาะกับอังกฤษเท่านั้น แต่มันมีความหมาย และมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ

 

นำเรื่อง 3

ก่อนปี ค.ศ.1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เราเรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำ อะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดฝ่ายที่อยากได้หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

ปี ค.ศ.1853 ชาวเยอรมันชื่อ สโตห์วัซเซอร์ (Stohwasser) เป็นผู้ใช้เทคนิคผลิตน้ำมันตะเกียงจากน้ำมันที่เรียกว่า “rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมันเช่นที่ ไททัสวิลล์(Titusville) ที่รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) ของอเมริกาหรือที่บากู (Baku) ของรัสเซีย หรือที่กาลิเซีย (Galicia) ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของเยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี ค.ศ.1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ร้อกกี้เฟลเลอร์รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคู่แข่งจนอยู่ไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อยไทยแลนด์ ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น ร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศรวย และก็เลวไม่ต่างกัน

ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ตระกูลรอธไชลด์ จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่บากูในอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan) ของรัสเซีย ในปี ค.ศ.1880 รอธไชลด์ มีโรงกลั่นน้ำมันในบากูประมาณ 200 แห่ง

รอธไชลด์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว… ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง… ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูลที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขายและขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย …เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่พระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซียอย่างยิ่ง และแสดงอย่างเปิดเผยว่า ไม่ชอบยิวและไม่ชอบใจรอธไชลด์

ปี ค.ศ.1882 กัปตันฟิชเชอร์ (Fisher) แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน  ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น 

ฟิชเชอร์ ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “Mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาบแคสเปียน (Caspian)

กัปตันฟิชเชอร์ ทำการบ้านอย่างเคร่ง เครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

อังกฤษคิดหนัก… ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่บากูของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรกรอธไชลด์ ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี ค.ศ.1884 ร้อกกี้เฟลเลอร์ จึงเข้าไปในบากู ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่าอาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาดและราคาตก

ในที่สุด 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควตากันเอง… ทำเหมือนบากู เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวพระเจ้าซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

เรื่องเอายิวไปแพร่พันธุ์อยู่ในรัสเซีย ก็ทำให้พระเจ้าซาร์นิโคลัส เหม็นหน้ารอธไชลด์ พอแล้วนี่รอธไชลด์รวมหัวกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ทำข้อตกลงเรื่องการขุดและขายน้ำมันที่บากู อย่างนี้พระเจ้าซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอาเหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ

นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรมและแน่นอน นโยบายนี้จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด… อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

นำเรื่อง 4

ในปี ค.ศ.1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมานที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่ง มากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ ….จนถึงทุกวันนี้

ในที่สุด ปี ค.ศ.1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นายซิดนี่ย์ ไรล์ลี่ย์ (Sidney Reilly) ตามสืบจนรู้ว่า นายวิลเลี่ยม น็อกซ์ ดาร์ซี่ (William Knox d’Arcy) วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสจะได้เงินกู้ ดูเหมือนจะริบหรี่มาก

แต่นายดาร์ซี่นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ชาห์ มูซัฟฟาร์ (Shah Muzaffar) กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่านปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประเทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี ค.ศ.1901 ชาห์ตอบแทนดาร์ซี่ ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนายดาร์ซี่ เขาจ่ายค่าตอบแทน ที่ได้สิทธินี้ให้ชาห์ไปสองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ชาห์ 16 เปอร์เซ็นต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย

สายลับไรล์ลีย์ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่านายดาร์ซี่ เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อมว่า ถ้านายดาร์ซี่ขุดน้ำมันขายเอง ก็ได้ประโยชน์ ในวงแคบๆ แต่พระผู้เป็นเจ้าคงจะพอ ใจมากกว่า และเป็นบุญกับตัวเองมากกว่า ถ้านายดาร์ซี่จะขายสัมปทานให้ใครที่จะทำประโยชน์ในวงกว้างมากกว่า …

ในที่สุดนายดาร์ซี่ ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศสของพวกรอธไชลด์ ก็เลยเปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นายดาร์ซี่คงนึกว่าจะได้บุญมากกว่า ..คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพวกที่แต่งตัวคล้ายพระ ที่มาจากสำนักหน้าตาเหมือนจานบิน

ได้แหล่งน้ำมันมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอสำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษกวาดสายตามองไปทั่ว ในที่สุดก็สะดุดหยุดอยู่ที่ตะวันออกกลางอันกว้างใหญ่ โดยเฉพาะแถบโมซุล (Mosul) อังกฤษ รู้ว่า อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ำมัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

ประมาณปี ค.ศ.1870 อุตสาหกรรม ของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษเอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตขึ้นอย่างรวดเร็ว  ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน

และในขณะนั้น เยอรมันก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ก็ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเองเหมือนกัน เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของร้อกกี้เฟลเลอร์จนหน้าเขียว

เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมันนำโดย Deutsche Bank จึงเจรจากับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมืองแบกแดด มันเป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย

ข่าวนี้ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมันกับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ

ความสัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมานก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาวไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสายเบอร์ลิน-แบกแดด (Berlin-Bagdad) ยาว 2,500 ไมล์…

ฝันร้ายของอังกฤษ…. กลายเป็นเรื่องจริง

และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความฝันของเยอรมัน เพราะในปี ค.ศ.1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้น ทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึงโมซุล (Mosul) หรืออิรักในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าอ่อน ทรุดตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่

 

นำเรื่อง 5

ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว อังกฤษมองว่า เยอรมันคุกคามอังกฤษ… โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง

ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกาที่มองจีน เมื่อราว ค.ศ. 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกาก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ไว้วางใจ

สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมันได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟเบอร์ลิน-แบกแดด และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น

เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่น ก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น

ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน

อังกฤษคิดว่า วิธีเดียวที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม!

เดือนเมษายน ค.ศ.1914 กษัตริย์จอร์จ (George) ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีเซอร์เอ็ดเวิร์ด เกรย์ (Sir Edward Grey) จึงเดินทางไปฝรั่งเศสเป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดีปวงแกร์ (Poincare) ของฝรั่งเศส ที่ปารีสโดยมีนายอีวอลสกี้ (Iswolski) ทูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ…

ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี

อันที่จริง ในสังคมอีลิตและชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี ค.ศ.1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม

เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกีในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกีให้ควบคุมดาร์ดาแนล (Dardanelles) ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สนับ สนุน ความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย ค.ศ. 1900 ถึง ค.ศ.1900 ต้นๆ อังกฤษจึงต้องปรับดุลยอำนาจและแผนการทูตที่เกี่ยวข้องเสียใหม่

อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผล ประโยชน์ของอังกฤษ

อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

และในกรณีนี้ออตโตมานซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษเสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษจนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน… ที่อังกฤษยก ระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบ ครองให้ได้… แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน… อย่างนี้ต้องลงโทษรุนแรง

ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน… ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย… ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน

อังกฤษมีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้วที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย ทรานสไซบีเรีย(Trans-Siberia) ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่าวลาดิวอสตอค (Vladivostok) ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จจะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน

อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ

อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟสาย ทรานสไซบีเรีย แต่ในที่สุด ในปี ค.ศ.1903 ทรานสไซบีเรีย ก็สร้างสำเร็จ

แต่รัสเซียก็หนีไม่พ้นมือขี้อิจฉาของอังกฤษ ค.ศ.1904 อังกฤษสนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ

พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถานกับดินแดนบาง ส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย …เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม

ปี ค.ศ.1907 อังกฤษกล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้า หมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 ประเทศ แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน

รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ… เดินหมากผิดติดต่อกัน

หลังจากล็อกคอ 2 ประเทศมาได้แล้ว อังกฤษก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี ค.ศ.1912 บุลกาเรีย กรีกและเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมานซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ …แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง

บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออก มาอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง

ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย

3 เดือนหลังจากที่อังกฤษไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส… วันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1914     อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิงที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบียที่มีข่าวลือว่า เป็นสายลับของอังกฤษ

แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ

Scroll to Top