แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 3 ‘เหยื่อ’

ไม่ตกสะเก็ด

ตอน ๑

ในที่สุดภาพของญี่ปุ่น ที่วาดไว้อย่างสวยงามว่า เป็นชาติที่รักความสงบ ไม่มีวันไปรุกรานใครอีกตลอดกาล ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ที่อเมริกาเขียนให้เมื่อปี ค.ศ.1948 ก็ถูกลบทิ้งเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17กรกฎาคม ค.ศ.2015 ที่ผ่านมา เมื่อสภาล่างของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนผ่านกฎหมาย ที่จะแปลความรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัพที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง Self Defense Force (SDF) ถลาร่อนไปได้ทั่วโลก แบกถาดไปได้ทุกแห่ง ตามคำสั่งของนายท่าน

ไอ้ที่บอกว่าจะไม่รุกรานใครอีกตลอดกาล ของญี่ปุ่นนี่ “ตลอดกาล” มันนานมาก นานน้อย แค่ไหนก็ได้ ตามแต่นายท่านจะสั่ง

กฎหมายนี้ ยังจะต้องผ่านสภาสูงอีกรอบ ภายในเดือนสิงหาคม ค.ศ.2015 แต่ไม่มีปัญหา เขาว่าพรรคLPD ของนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน คุมเสียงตั้ง 2 ใน 3 ของสภาสูง นอนหลับตาไขว้ห้างได้สบายใจ ไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผาก แถมสั่งลูกน้องให้ไป เตรียมตัดชุดแบกถาดล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกลัวเป็นซามูไรสายบัวเหี่ยว

ตั้งแต่ข่าวนี้ออกสื่อ มีเสียงดังเหมือนมังกรคำราม ออกมาอย่างไม่พอใจ

ไม่ต้องสงสัย มาจากแถวบ้านอาเฮียของผมนั่นแหละ

ทำไมอาเฮียต้องเอ็ดตะโรด้วย ใครเขาอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้อะไร

เฮียก็อย่าไปใส่ใจน่า อย่าทำตัวเหมือนไอ้พวกใบตองแห้ง ที่ไม่พอใจไปหมด เดี๋ยวก็สั่งให้แก้ สั่งให้ถอด สั่งให้เปิด สั่งให้เปลี่ยน สั่งมันทุกอย่าง เหลืออย่างเดียว ยังไม่ได้ให้สั่งขี้มูก สั่งมาซีวะ กำลังถูกหวัดต้นหน้าฝนเล่นงานอยู่ จะได้เอาให้หน้าสถานทูตมันลื่นพราดเชียว (ฮา)

อาเฮียบอกไม่ขำ (โว้ย)

อ้าว เฮียครับ ธรรมดาก็เห็นหยอกกันได้ แต่เรื่องไอ้ยุ่นแบกถาดนี่ ทำไมเฮียบูดกะทันหัน เรื่องทะเลาะกันตีกัน มันก็นาน 70, 80 ปีแล้วนะ เป็นแผลก็ตกสะเก็ด ไปแล้ว เฮียไปเกาซ้ำแผลมันจะหายได้ยังไง

อาเฮียบอก…. ลื้อไปศึกษาดูให้ดี อย่าดีแต่พล่าม…. หายเซ่อ แล้วคอยมาคุยกัน ว่า ทำไมแผลเก่าของอั๊ว…. นานกว่า 70 ปี ก็จริง…. แต่มันตกสะเก็ดยากว่ะ

จริงของอาเฮีย ผมเองยังเซ่อจับเกี่ยวเรื่องญี่ปุ่น มีคำถามค้างกับตัวเองอยู่หลายเรื่อง มองบางอย่างยังไม่ชัด เหมือนอะไรมันยังขัดกัน หรือหมุนไปคนละทาง

อะไรทำให้ญี่ปุ่น ลุกขึ้นไปรุกรานเพื่อนบ้านตัวเอง อย่างหิวกระหายและทารุณ และไปเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดุดันและเหี้ยมโหด

ญี่ปุ่นโกรธแค้นใครมา หรือญี่ปุ่นถูกหลอก หรือมีข้อตกลงกับใคร หรือมันเป็นนิสัยของชนชาติที่รักษาเกียรติยศด้วยการเอามีดคว้านท้องตัวเอง ก็เลยเห็นชีวิตคนอื่นไม่ต่างกับผักดองหรือสาหร่าย

ผมว่า เรามาเริ่มจากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแบบสั้นๆ แต่แพนกล้องให้กว้าง แล้วค่อยๆ เจาะลึกดีกว่าจริงๆ อยากเขียนแบบ ต้มข้ามศตวรรษ อีกรอบ แต่สงสัยทั้งคนเขียน และคนอ่านหมดแรงไปก่อนวันอันควร

จากหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ฝรั่งเขียน มักจะระบุว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่น ที่แสดงในช่วง ค.ศ.1852 ถึง ค.ศ.1945 มาจากแรงผลักดัน ที่ไม่อยากมีชะตา หรือสภาพอย่างจีน เมื่อช่วงศตวรรษ ที่ 19 อืม…

เริ่มแบบนี้ ผมเกรงว่า แผลเก่าของอาเฮียจะกลายเป็นแผลใหม่สดขึ้นมาอีก

อาเฮีย อย่าเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ ให้ผมพล่ามให้จบก่อน ผมยังไม่อยากมีเรื่องกับมังกร…

นักประวัติศาสตร์บอกว่า สำหรับญี่ปุ่นการเข้าสู่สงครามโลก มันลามมาจากการปะทะกันระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่เรียกว่า สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 Second Sino Japanese War หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Marco Polo Bridge Incident ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1937 หลังจากที่มีการทุบถอง ปะทะกันตามแนวเขตแดนมาหลายปีตั้งแต่ญี่ปุ่นไปบุกแมนจูเรีย ในปี ค.ศ.1931 นู่น

เอ๊ะ แล้วญี่ปุ่นนึกยังไง ถึงซ่าเข้าไปบุกแมนจูเรีย

นักประวัติศาสตร์บอกว่า งั้นต้องถอยกลับมาปี ค.ศ. 1853 ก่อน ถึงจะเดินหน้าต่อ

อย่าเพิ่งโวยว่า ผมถอยไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน

เอาน่า จะรู้เรื่องอะไร ก็รู้ให้มันชัดๆ ดีกว่ารู้เรื่องดาราทะเลาะกัน งอนกัน ที่ซึ่งจริงๆ แล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องจริงของพวกเขาอยู่ดี ใช่ไหมครับ

ก่อนปี ค.ศ.1853 นักประวัติศาสตร์ บอกญี่ปุ่นเป็นชาติ ที่รักสันโดษ ไม่คบค้ากับใคร นานๆ ก็มีชาว ดัชท์เอาเรือบรรทุกสินค้าแวะมาจอด ซื้อของขายของ แถวท่าเรือที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki) ชาวต่าง ชาตินอกเหนือจากนั้น ไม่อนุญาต ไม่รู้ ดัชท์หลุดมาได้ไง

พอถึงปี ค.ศ.1853 ต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากรักสันโดษ …ก็มาถึง

นาวาโทแมทธิว เพอรี่ นำเรือรบอเมริกันมาจอดอยู่ที่ปากอ่าวเมืองโตเกียว และไม่ได้มากันลำเดียว ดันขนกันมาถึง 4 ลำ เล่นเอาปากอ่าว แน่นเอี้ยด… นี่มันสูตรสำเร็จ แจกโรเนียวเลยนะ เอาเรือรบมาจ่อ…. แล้วขอจับมือ

ญี่ปุ่นเห็นเรือรบที่ไม่ได้รับเชิญ มาจอดเต็มหน้าบ้าน ก็ยั๊วะจัด

บังวิวสวยๆ หมด เลยท้าวสะเอวถลกกิโมโน ชี้นิ้วตะโกนไล่… ออกไปเดี๋ยวนี้นะ

ทหารเรือฝรั่งบอกว่า ไม่ไป แถมหันปืนใหญ่ใส่เมืองโตเกียว

ญี่ปุ่นยิ่งยั๊วะ รวบรวมเรือเล็กเรือน้อย ติดธงทิวสวยงามไปล้อมเรือรบ.. น่าเอ็นดูจัง แต่ทหารเรือฝรั่ง ไม่เอ็นดูด้วย… กลับยื่นจดหมายของประธานาธิบดีมิลลาร์ด ฟิลมอร์ (Millard Fillmore) แห่งแดนใบตองแห้ง เอ้า… เอาไปส่งให้โชกุนโตกุกาวาที่ปกครองญี่ปุ่นขณะนั้น แถมด้วยยิงปืนใหญ่โชว์ จนบ้านน้อยๆของชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ริมอ่าวพังพินาศ นักประวัติศาสตร์ ไม่ได้จดมาว่าพังไปเท่าไหร่ ว่าแล้วก็แล่นเรือจากไป แต่ไม่ไปลับ… สำทับกับชาวญี่ปุ่นที่ยังไม่หายตกใจ หูอื้อจากเสียงปืนใหญ่…. แล้วเราจะกลับมาเอาคำตอบ…

ฮู้ย เข้มซะไม่มี เอาปืนใหญ่ มาขู่กระบอกไม้ไผ่ ซามูไรมุดหัวหายไปไหนหมด

หนึ่งปีผ่านไป ทหารเรือพกปืนใหญ่ก็กลับมาจริง คราวนี้ยกโขยงเรือรบมากัน 8 ลำ คราวที่แล้วมา 4 ลำ ดูจะน้อยไป เดี๋ยวจะสู้กับไม้ไผ่ไม่ไหว แถมมาพร้อมกับมือยาว ยื่นมาบีบคอญี่ปุ่น ให้เซ็นสัญญาConvention of Kanagawa ให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือชิโมดะ (Shimoda) (ชื่อเดิมของโตเกียวนั่นแหละ) และเมืองฮาโกดาเตะ (Hagodate) ซึ่งอยู่ทางใต้ของฮอกไกโด (Hokkaido) เพื่อค้าขายกับอเมริกา ตามเงื่อนไขที่อเมริกากำหนด

ญี่ปุ่นคิดหนัก เฮ้อ… ซามูไร ถึงจะคมยังไง ก็คงสู้กับปืนใหญ่ลำบาก เนอะ… ว่าแล้วก็คอตก หน้าก้ม ยกมือขึ้นประทับตรา ในสัญญาที่ฝรั่งมาขู่เอาไมตรี

(หมายเหตุ ก่อนเดินหน้าเล่าต่อ ถ้าผมเรียกชื่อ สะกดชื่อญี่ปุ่นผิด ก็ไม่ต้องทักท้วงกันมาหลังจอ นะครับ รบกวนบอกกันหน้าจอเลยว่า ผิดที่ไหน ที่ถูก ต้องเรียกยังไง ผมจะขอบคุณมาก ผมแค่เขียนนิทานให้อ่าน ไม่ใช่ครูสอนภาษา และผมก็ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็พยายามจะไม่เขียนแบบมั่ว หรือชุ่ยครับ อ้อ…. ไม่ใช่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นนะครับ …ทุกภาษาที่สะกดผิด …นิทานเรื่องนี้ จะมีทั้งภาษาจีน ภาษาฝรั่งอั้งม้อ รวมทั้งภาษาไทย ที่ตอนเขียนถูก แต่ตอนโพสต์ผิดก็มี และมีแยะขึ้น บางวันถึงขนาด เครื่องมันขึ้น F ให้หน้าเพจผม ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน บางครั้งก็แก้ไขทัน บางทีก็ไม่ทัน… ก็ขอความกรุณา อย่างง เขียนนิทานแบบนี้ ลงเพจให้อ่านกัน เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น พยุงตัวให้รอด ไม่จมน้ำหาย ได้โผล่หัวอยู่มาได้ เกือบ 2 ปีนี่ ก็กินแรงแยะเหมือนกันนะครับ แรงคนแก่มีเหลือไม่มาก เรื่องอะไรที่ไม่ถึงกับขัดหู ขัดตา ก็ปล่อยไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า)

เรื่องนายนาวาโทเพอรี่ ขี่เรือรบพกปืนใหญ่ มาขู่เอาไมตรีกับญี่ปุ่นนี่ จริงๆ ทำเอาซามูไรหน้าจ๋อย ใจฝ่อไปจม… ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นชาติที่เข็มแข็ง ซามูไรคมกริบ ไม่เคยพลาดเป้า…. ตอนนี้เหงื่อตก คิดหนัก เราด้อยกว่าเขาแยะนักหรือ ขนาดจีนว่าใหญ่ ยังโดนไอ้พวกไกจิ้น (ญี่ปุ่นเรียกฝรั่งว่า Gai-Jin) เล่นซะร่วง แล้วเราจะทำอย่างไรดี

ด้วยความกลัวไอ้พวกไกจิ้น เอาปืนใหญ่มายิงโชว์อีก ญี่ปุ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มีทางเดียวเราต้องปฏิรูปตัวเอง

ญี่ปุ่นทำจริงจัง ปี ค.ศ.1868 ญี่ปุ่นจัดการบ้านการเมืองตัวเองใหม่เรียกว่า ขบวนการปฏิรูปราชวงศ์เมจิ (Meiji Restoration) เริ่มขบวนการปลดโชกุนที่เคยมีอำนาจใหญ่กว่าฟ้ากลับลงมาสู่พื้น แล้วเอาอำนาจให้มาอยู่ในมือของจักรพรรดิแทน… หรือจริงๆ ก็คือ อยู่ในมือของกลุ่มที่ชักใยอยู่หลังฉาก ที่ไปปลดโชกุน และอุ้มจักรพรรดิขึ้นมาเป็นเจว็ด นั่นแหละ

กลุ่มมือที่อยู่หลักฉากเชื่อว่า ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยล้มเลิกระบบขุนนาง ปรับปรุงกองทัพให้เข็มแข็ง และวางแผนให้ประเทศเดินหน้าไปทางด้านอุตสาหกรรม พยายามสร้างชาติใหม่ให้เท่าทันตะวันตก ชะตาชีวิตของประเทศ ก็น่าจะพ้นจากสภาพการถูกไอ้พวกไกจิ้นทำลาย

พวกสังคมอีลิต ต่างพากันสลัดกิโมโนทิ้ง มาแต่งตัวและใส่หมวกแบบตะวันตก แล้วชาวญี่ปุ่นหัวสมัย ใหม่ ก็รีบสร้างระบบรัฐสภา เร่งร่างรัฐธรรมนูญ… นี่ ผมกำลังเล่าเรื่องญี่ปุ่นนะครับ…

Scroll to Top