แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 3 ‘เหยื่อ’

ไม่ตกสะเก็ด

ตอน 3

อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น

งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีนเรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง (Massacre of Nanking) มาเล่าสู่กันฟังหน่อย

ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลีและแมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม และการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้..ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะของอังกฤษ… ครอบงำญี่ปุ่น มานานแล้ว

ปี ค.ศ.1937 องค์ชายและองค์หญิง ชิชิบุ (Chichibu) ซึ่งเป็นน้องชายและน้องสะใภ้ของจักรพรรดิ ฮิโร ฮิโต (Hirohito) เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้น สูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต …ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ของโลกมากกว่ากัน… แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ …ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษบอกว่า… ยังไงเงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก… ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียโดนก็ได้นะ

ฝ่ายอเมริกาที่นำโดยกลุ่มเศรษฐีเช่น เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (Herbert Hoover) และลินด์เบิร์ก (Lindberg) ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้ายได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอมมิวนิตส์อย่างรุนแรง… จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน

ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของนายโธมัส ลามองต์ (Thomas Lamont)… ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่พระเจ้าซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวัติไม่รับรู้ …เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง …แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนักการเงินนี้ จึงบอกว่า ไม่เอาโซเวียตแล้ว

ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาระหว่างนายโยชิดะ (Yoshida) ทูตญี่ปุ่นประจำอังกฤษ กับบรรดาขุนนางอังกฤษ… นายโยชิดะบอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอมฯ นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า… แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย

ภารกิจอีกอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษคือ การไปสมานไมตรีระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๋ แต่ตอนหลังๆ จี๋หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น… นอกจากนี้ องค์ชายก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกา หลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ซึ่งเต็มไปด้วยอาณานิคมของอังกฤษ)

แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดยให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ …ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญจะได้เข้าไปยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก

มันเหมือนญี่ปุ่น แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจน

ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย

ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพ กวันตงหรือ คันโต (Kwangtung) ของญี่ปุ่น และกลุ่มพวกใต้ดินที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ ฮิเดกิ (Tojo Hideki) เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุกคน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกอง ทัพคันโตที่แมนจูเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน ไซบัตซุ (Nissan Zaibutsu) ที่เพิ่งตั้งขึ้นกองทัพเจาะ จงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นายคิชิ โนบุซุเกะ (Kishi Nobusuke) ผู้ชำนาญการถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เพราะเจ้าของนิสสันไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของคิชินั่น เอง

นิสสันย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และดูแลจัดการจนทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล และนิสสันก็ร่ำรวยอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็นเอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนชั้นกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาทำเสียงดังใส่กองทัพที่แมนจูเรีย แถมนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมตัวพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเองด้วย

ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนายคิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของกองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหารและพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น

ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต

Scroll to Top