แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 3 ‘เหยื่อ’

ไม่ตกสะเก็ด

ตอน 8

ตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 กว่าเป็นต้นมา อเมริกาเริ่มให้ความสนใจทะเลฝั่งแปซิฟิก ไม่ใช่มองเห็นแต่ฝั่งแอต แลนติกของลูกพี่ อังกฤษเท่านั้น แต่กว่าจะหันมาสนใจจริงจัง ก็ปาเข้าปี ค.ศ.1853 ที่เอาเรือปืนไปเยี่ยมสวัสดีโชกุนนั่นแหละ… ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่น โลกของอเมริกาค่อยๆ กว้างขึ้น อเมริกาคงเพิ่งเห็นจีนชัดขึ้น

จีน เป็นตลาดที่กว้างใหญ่ พลเมืองประมาณ 450 ล้านคนในตอนนั้น ในสายตาของนักธุรกิจอเมริกันบอก นั่นคือ โอกาสขายสินค้า 450 ล้านชิ้น มันจะสร้างกำไรงามขนาดไหน …ส่วนพวกมิชชันนารีก็มอง450 ล้านคน ว่าจะจับ 450 ล้านเข้ารีต ได้กี่ล้านคนนะ… ตลาดใหญ่แบบนี้ ไม่เข้าไปบุกได้อย่าง ไร

อเมริกา มัวแต่สร้างประเทศและรบกันเอง กว่าจะมองเห็น (ราคาของ) จีน ก็ถูกฝรั่งชาติอื่นแซงหน้าไปแล้ว รัสเซีย อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรียและแม้แต่ญี่ปุ่น ต่างก็เล็งเป้า ตั้งเข็มทิศ มุ่งไปที่จีนกันหมดแล้ว และประมาณปี ค.ศ.1890 พวกฝรั่งรวมทั้งญี่ปุ่น ต่างไปตั้งเขตปกครองของพวกตัวอยู่ในจีน มีฐานทัพ ทำตัวตามสบาย เหมือนอยู่ในประเทศของตัวกันหมด อเมริกา ดูเหมือนจะตกรถไฟสาย (ไปยึด) จีน เที่ยวแรกไปเสียแล้ว

อเมริกามีทางเลือกทางเดียว… คือเข้าไปพ่วงกับอังกฤษที่ดูเหมือนจะพอพูดกันได้กว่านักล่ารายอื่น

อังกฤษและอเมริกา ตกลงกันว่า จะใช้ญี่ปุ่นเป็นหัวรบ เจาะเข้าไปในจีน โดยทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องเปิด ตัว เปิดไต๋มากนัก แถมได้ไล่ตีทั้งรัสเซียและเยอรมัน ที่อังกฤษไม่เคยรักด้วยเลย ให้กระเจิงไป… อังกฤษตกลง บอก… แกเอาละตินอเมริกาไป… กูไม่ยุ่ง แต่ที่ตะวันออกไกล โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น… แกอย่าเสือกมาก เข้าใจไหม

ปี ค.ศ.1895 การแข่งขันเรื่องสร้างทางรถไฟในจีนชักเข้มข้น อเมริกาตั้ง American China Development Company (ACDC) ขึ้นในจีน มีขาใหญ่จับมือร่วมกันหมด ทั้งค่ายเอ็ดเวิร์ด เอช แฮรี่แมน (Edward H. Harriman) เจ้าพ่อรถไฟตัวจริง ค่ายร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เอี่ยวกับ คูน แอนด์ โลบ (Kuhn & Loeb) และค่ายมอร์แกน (Morgan) เพื่อจะขอสร้างทางรถไฟสายปักกิ่ง-หางโจว (Peking – Hankow) เส้นหนึ่ง… อีกเส้นข้ามแมนจูเรียปรากฏว่า อเมริกาไม่ได้กินสักเส้นทาง ได้แต่กินแห้ว… แต่รัสเซียได้เส้นทางแมนจูเรียไป ส่วนกลุ่มเบลเยี่ยมได้เส้นปักกิ่งไป

อังกฤษ อเมริกาบอก แบบนี้ก็ถึงเวลาต้องเล่นลูกหนักแล้ว

เมื่ออเมริกายึดฟิลิปปินส์ได้ในปี ค.ศ.1898 ฟิลิปปินส์ห่างจีนแค่ 400 ไมล์ อเมริกาคิดว่า ตนเองน่าจะได้เปรียบกว่าอีกหลายชาติ ที่ต้องล่องเรือมาไกล อเมริกาจึงพยายามโหนตัวแทรกเข้าไปใหม่ ในรถไฟสายไปยึดจีนที่แน่นขนัด

ในปี ค.ศ.1899 อเมริกาเริ่มเดินสายบอกกับฝรั่งที่ปักหลักอยู่ในจีนอยู่แล้วว่า เราพวกต่างชาติกำลังเอาเปรียบจีนนะ เราควรตกลงกับเขาอย่างตรง ไปตรงมาให้ยุติธรรมว่า เราต้องการอะไรและเขาจะได้อะไร และพวกเราก็ควรมาตกลงกันเอง อย่างเท่าเทียมกัน ฟังดูดี มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย… สันดาน ตอ แหล ส่อแววมาร้อยกว่าปีเลยนะไอ้ใบตองแห้ง… แล้วอเมริกาก็เสนอนโยบายเช่นว่านี้ ที่เรียกกันว่าOpen Door Policy นโยบายเปิดประตู (จีน) ให้ทุกฝ่ายพิจารณา มันน่าจะเรียกว่า… อุบายเปิดประตูจีนมากกว่านะ

แต่ดูเหมือนอุบายนี้จะขายไม่ออก ฝ่ายจีนบอกว่า… ถ้าเรายอมให้มีการตกลงกันใหม่อีก ไม่รู้จะยิ่งเสียอะไรมากขึ้นไปอีก… ส่วนพวกฝรั่งที่ได้สิทธิไปแล้ว ต่างก็กอดชามข้าวของตัวเองแน่น เรื่องอะไรจะตกลงใหม่ เพื่อเปิดทางให้ไอ้เจ๋อหน้าใหม่ เข้ามาแย่งชามข้าว

แล้วปี ค.ศ.1900 ก็เกิดกบฏนักมวย ไล่ตีฝรั่งที่อยู่ในจีนเสียกระเจิง เมื่อกองทัพนานาชาติมาช่วยพวกฝรั่ง ที่ถูกนักมวยล้อมกรอบ อยู่ที่บริเวณสถานทูตอังกฤษที่ปักกิ่ง… ก็มีกองกำลังทหารเรือของอเมริกา ที่บังเอิญอยู่ในจีน… เข้าไปร่วมยิงพวกนักมวยด้วย ชาติอื่นมีกองกำลังอยู่ในจีน ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่… เพราะไปตั้งบ้านเรือน สถานทูต ฐานทัพกันเรียบร้อยแล้ว… แต่อเมริกา เพิ่งแค่โหนขึ้นรถ ยังไม่ทันแม้แต่จะมีที่ให้หย่อนก้นลงนั่งเสียด้วยซ้ำ แต่มีกองทหารไปช่วยรบได้แล้ว…. แน่จริงๆครับไอ้เจ๋อ แต่ที่แน่กว่านั้น…. กองทัพรัสเซีย ถูกกองทหารต่างชาติด้วยกัน แต่ไม่รู้จากชาติไหน ตีแตกออกไปจากแมนจูเรีย

แต่บางคนอาจสงสัย เอ๊ะ… แล้วทำไมเป้าแรก หวยถึงไปออกที่เยอรมัน ฝรั่งมีตั้ง 5,6 ชาติ ก็ไม่น่าต้องสงสัย… ผู้ต้องสงสัย ก็น่าจะเป็นอังกฤษ เพราะนั่นมันปี ค.ศ.1900… เป็นช่วงที่อังกฤษกำลังเขม่นเยอร มัน แสดงออกมาทั้งหน้าทั้งอาการ รู้กันไปทั้งโลกแล้ว… จากเรื่องทางรถไฟเบอร์ลินแบกแดด นี่มันยังมาสร้างทางรถไฟในจีนอีก… ไม่หมั่นไส้ทนไหวหรือ (อ่านรายละเอียดเพิ่มได้จากนิทานเรื่อง ลูกครึ่งหรือนกสองหัว และเรื่องต้มข้ามศตวรรษ นะครับ) ตกลงเรื่องทางรถไฟ นี่มันเรื่องใหญ่นะครับ ไม่ว่าสมัยไหน

วิธีการเล่นกลแบบนี้ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา เล่นเก่งทั้งคู่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้ว ใครจะกินใคร ต้องตามไปดู

อเมริกาไม่ใช่เพิ่งเข้าไปในจีน ในปี ค.ศ.1900 นั่นหรอก ไอ้นั่นมันประวัติศาสตร์แบบหลักสูตรสอนเด็กนักเรียน หรือศึกษาประวัติศาสตร์แบบคนซื่อ

หวังว่าคงยังจำกันได้ พวกตระกูลร้อกกี้เฟลเลอร์ เจ้าพ่อน้ำมันยี่ห้อ Standard oil ก่อนหน้าจะขายน้ำ มันเหนียว เจ้าพ่อขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงก่อน ตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1800 ต้นๆ ก็สมัยนั้น ไฟฟ้ามีที่ไหนล่ะ และจีนก็เป็นลูกค้าน้ำก๊าดของเจ้าพ่อร้อกกี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1863 บอกแล้วว่า อเมริกาเพิ่งเห็นโลกกว้างตั้งแต่เอาเรือรบไปจ่อญี่ปุ่น

บรรดาเจ้าพ่อทางธุรกิจของอเมริกา ที่มีอิทธิพลและบทบาทใหญ่ ทางด้านการเมือง และธุรกิจ ทั้งในอเมริกาเองและในโลก ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่2 คงไม่มีใครเกิน 2 ตระกูล ร้อกกี้เฟลเลอร์และมอร์แกน ทั้ง 2 ตระกูล เหมือนจะจับมือร่วมกัน แต่บางคราว ก็เหมือนจะหักกันเอง ไม่ต่างกับสัมพันธ์ของอังกฤษกับอเมริกา

เรื่องของจีนกับญี่ปุ่นก็เช่นกัน ไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องระหว่างอังกฤษกับอเมริกา และเป็นเรื่องระหว่าง ร้อกกี้เฟลเลอร์กับมอร์แกนอีกด้วย

นี่มันไม่รู้กี่เส้า แล้วผมจะเขียนให้รู้เรื่องไหวไหมเนี่ย ชักสงสัยตัวเอง

เมื่อปี ค.ศ.1904 ญี่ปุ่น เตรียมตัวไปรบรัสเซีย ตามที่อังกฤษ ทั้งวางแผน และจัดหาทุนให้ ถึงคนหาเงินจะเป็นเจคอบ ชิฟฟ์ ของคูน โลบ (Kuhn Loeb) แต่ชิฟฟ์ ก็เป็นแนวร่วมกับเจ พี มอร์แกน หลังจากญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย เจ พี มอร์แกนกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็ร่วมมือกัน สร้างปฏิวัติบอลเชวิกให้รัสเซีย ระหว่างรัสเซียมีปฏิวัติ อังกฤษก็สร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อถล่มเยอรมัน ระหว่างนั้นอเมริกานั่งดู อังกฤษรบในยุโรปทางหนึ่ง อีกทางก็เข้ามาขุดสมบัติในรัสเซีย และเลยมาถึงจีน ที่อังกฤษให้ญี่ปุ่นตีตั๋วจอง และตีตั๋วรวนแทนมาตลอด เพราะอังกฤษอยากครองทั้งโลก แต่แบ่งภาคไปยึดเองไม่ได้ทั้งหมด   …อังกฤษกับอเมริกา ก็เลยทำท่าจะชนกันเอง ทั้งเรื่องของจีนและญี่ปุ่น… มึนไหมครับ

Scroll to Top