แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 3 ‘เหยื่อ’

ไม่ตกสะเก็ด

ตอน  12

ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง

สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่อังกฤษอยู่ห่างกับจีนคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธนุ่ม หรืออาวุธ (ที่ทำให้) น่วม soft power มอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วยสงครามตัวแทน proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ …อังกฤษหลอกปั่นหัวญี่ปุ่น ให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่า ตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ

แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด…. อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น

เมื่อญี่ปุ่นคิดการปฏิรูปราชวงศ์เมจิ (Meiji Restoration) บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่นที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคนไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมืองและการทหารจากประเทศต่างๆ

เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ (Baron Ito) ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครองและการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็นคณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน

ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี

ดังนั้นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง ค.ศ.1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษนั้นศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้… ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ… เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้… จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด… ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ

ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกล แซกซอน(ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน

และในเมื่อขบวนการปฏิรูปราชวงศ์เมจิ (Meiji Restoration) ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทำให้ทั้งอังกฤษและอเมริกาพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักใย หรือชักนำราช วงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ

น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวังและระดับชนชั้น สูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสต์

ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือ คริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติ คริสเตียนเคร่งศาสนาที่เรียกว่า เควกเกอร์ (Quaker) ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง

พวกเควกเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น ก็เปิดโรงเรียนสอนภาษาและหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือกับพวกเควกเกอร์ และพวกนี้ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียน เควกเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย

ทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่นปี ค.ศ.1932 โจเซฟ กริว (Joseph Grew) ซึ่งเมียชื่อ อลิส (Alice) นั้น เป็น    เควกเกอร์ ที่เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ยายขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะSadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตและชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็น คริสเตียน จากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน อลิส ก็เป็นญาติกับเมียของแจ็ค มอร์แกน (Jack Morgan) แห่งเจ พี มอร์แกน (J P Morgan) ที่ดังว่อนและวุ่นไปทั่วโลก

ด้วยเส้นสายเช่นนี้ เจ พี มอร์แกน จึงได้มาเปิดบริษัทการเงินใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น มอร์แกน ไซบัตสุ (Morgan Zaibutsu) พร้อมทั้งส่ง โธมัส ลามองต์ (Thomas Lamont) จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของเจ พี มอร์แกน มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดิฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่น ๆ ด้วย… ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้นมาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรดของนักล่าจริงๆ

ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือมอร์แกน แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอคือ ความจงรักภักดีของมอร์แกน ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่า ในส่วนลึกมอร์แกนนั้น ผูกพันกับอเมริกา หรืออังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้มอร์แกน กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว

อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง

อังกฤษใช้บริษัท บริติช อีสท์ อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิ ร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่น ฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการ มิชชันนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และซื้อไพ่ชื่อ ซุนยัดเซ็นและเจียงไคเซ็ค

ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคมและการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน

Scroll to Top