เล่ม 3 ‘เหยื่อ’
ไม่ตกสะเก็ด
ตอน 13
ในญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1930 การเมืองญี่ปุ่นแบ่งแยกเป็น 2 ขั้วชัดเจน ขั้วที่ไม่ต้องการให้กองทัพแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะเป็นการกระตุกเชือกชักใย โดยอังกฤษ ผ่านมาที่สายพลเรือน ที่เป็นพวกนักการเงิน และนักการเมือง อังกฤษต้องการให้ญี่ปุ่นไปป่วนจีนก็จริง แต่แค่ป่วน ไม่ใช่ไปยึด เพราะอังกฤษ ต้องการยึดเอาจีนมาเป็นของตนเอง ดังนั้น ถ้าญี่ปุ่นเกิดมีกองทัพแข็งแกร่งขึ้นมา แล้วบ้าเลือดไปยึดจีน อังกฤษก็คงวืด จั่วลมแทน
อังกฤษจึงต้องหาวิธีติดเบรค กองทัพญี่ปุ่น การตอนงบประมาณกองทัพ น่าจะเป็นวิธีหนึ่ง นักการเมืองอย่าง ทากาฮาชิ จึงรับบทไปจากอังกฤษ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว…
ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้กองทัพญี่ปุ่นแข็งแกร่งนั้นน่าสนใจ มันเป็นความอยากใหญ่ อยากเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่นเอง ที่สะสมมาจากความเชื่อว่า มีความ เก่งกล้าสามารถ ฉลาด และเหนือกว่าชาติใดๆ ใน เอเซีย รวมทั้งรัสเซียที่อยู่ใกล้กัน และความแค้นที่ถูกหักหน้า ถูกดูหมิ่น เรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่นเอง ผสมกับการปั่นหัวของอังกฤษ เพื่อหลอกใช้ญี่ปุ่นไปรวนจีนส่วนหนึ่ง…. แต่อีกส่วนนั้น ก็น่าเป็นการหลอกใช้ญี่ปุ่น ของอเมริกา…
ความสัมพันธ์ของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับญี่ปุ่นจึงไม่ต่างกันเลย มันเป็นการ “หลอกใช้” อย่างเดียว ญี่ปุ่นรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง
กลับไปดูกองทัพญี่ปุ่น ที่ปักหลักอยู่ที่แมนจูเรีย ภายใต้การบัญชาการของนายพลโตโจ ที่เริ่มมีรัศมีอำนาจและเงินจับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ร่ำรวยจนไม่ต้องพึ่งงบหลวงจากโตเกียว จากการบริหารจัดการของนายคิชิ โนบุซุเกะ Kishi Nobusuke เขาเป็นคนสำคัญในการเพาะญี่ปุ่นพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้จักเขาให้ดี ก็ยากที่จะ “รู้จัก” ญี่ปุ่นปัจจุบัน
คิชิ โนบุซุเกะ ชื่อเดิมคือ ซาโตะ โนบุซุเกะ (Sato Nobusuke) เกิดเมื่อปี ค.ศ.1896 ที่เมืองโชชู(Choshu) เป็นเด็กเฉลียวฉลาด หัวไว แววดี ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่จึงขอมาเลี้ยง และให้ใช้นามสกุลของลุงคือ คิชิ ส่วนพี่ชายอีก 2 คน ยังใช้สกุล ซาโตะ พี่ชายคนหนึ่ง ซาโตะ ไอซากุ (Sato Eisaku) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิก ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลังและต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรค LDP ส่วนพี่ชาย อีกคน ซาโตะ อิชิโร (Sato Ichiro) ได้เป็นนายพลเอกของกองทัพเรือ
เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยโตเกียว คิชิ เข้าทำงานที่กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสาร เก็บไปอ่านไป ทำให้คิชิ รู้ข้อมูลและนโยบาย ทั้งลับและลึกของญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ.1929 เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งโลก Great Depression แต่เศรษฐกิจของคิชิ ไม่ถดถอยด้วย ตรงกันข้าม ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมไว้ เขาตามซื้อหุ้นบริษัทที่น่าจะฟื้นเร็ว และมันก็ฟื้นเร็วอย่างที่เขาคาด เมื่อญี่ปุ่นคิดจะยึดแมนจูเรียในปี ค.ศ.1931 เขาจึงถูกส่งตัวไปให้ไปทำการสำรวจล่วงหน้าถึง “โอกาส” ของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย
คิชิ บอกกับนายพลโตโจ ว่า…. นู่น บ่อเงินบ่อทองของเรา อยู่ที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ (South Manchuria Railroad Company) (SMRC) ของรัฐบาลจีน บริษัทนี้เป็นเจ้าของท่าเรือ โรงแรม เหมืองแร่ แหล่งน้ำมัน การขนส่ง สิทธิในการสำรวจฯลฯ มันเยอะแยะจนบรรยายไม่หมด ….เข้าใจไหมท่านนายพล
วิธีที่จะเป็นเจ้าของ SMRC ก็ไม่น่าจะยากอะไร… ท่านก็ยกทัพไปตีแมนจูเรีย แล้วก็ยึดบริษัทมา ก็เท่า นั้น …
บังเอิญประธาน SMRC ดันเป็นลุงเขยของคิชิ …ไอ้คนหัวแหลม เลยไปกล่อมลุงเขยอีกทีว่า เรามาจับมือกัน แล้วช่วยกันรวยดีกว่านะลุง… แล้วกองทัพญี่ปุ่น ก็ยกทัพไปตีแมนจูเรียของจีน หลังจากนั้นนายคิชิ ก็ทำทุกอย่างทั้งบนดิน ใต้ดินและกองทัพญี่ปุ่นก็เลยเริ่มรวย คิชิ เสนอให้กองทัพชวนพวกนิสสัน ไซบัตสุ (Nissan Zaibutsu) บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น ที่เพิ่งตั้งขึ้นแต่มีอนาคตไกล และก็เป็นของลุงอีกคนของนายคิชิ เข้ามาช่วยบริหารทรัพย์สมบัติ (คนอื่น) ที่กองทัพญี่ปุ่น ไปปล้นมาได้ …ไม่รู้นายคิชิ นี่มีลุงกี่คน
กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย จึงยิ่งรวยใหญ่ จนในที่สุดไม่ต้องพึ่งงบรัฐบาลที่โตเกียว แถมเริ่มมีเสียงดังกว่ารัฐบาลที่โตเกียวเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คิชิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมที่โตเกียว ขณะ เดียวกันก็ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการจัดหาสรรพาวุธ ให้แก่นายพลโตโจ ที่ในที่สุด ก็มาทำหน้า ที่เป็นผู้นำกองทัพของญี่ปุ่น ในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
หลังสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกาเข้ามาใช้อำนาจควบคุมญี่ปุ่นและเอเซียแต่ผู้เดียว ต่างกับยุโรป ที่มีทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆ แบ่งกันควบคุมเยอรมันและอิตาลีผู้แพ้สงคราม
เมื่อนายพลแมคอาเธอร์ เข้ามาถึงญี่ปุ่น ในฐานะเป็น Supreme Commander Asia and Pacific (SACP) เขาสั่งให้มีการสอบสวนผู้ที่ทำผิดในการก่อสงคราม และความผิดที่เกี่ยวเนื่องจากสงคราม มีรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องถูกจับและไต่สวน ไม่น้อยกว่า 2 แสน 2 หมื่นคน… คิชิ เป็นหนึ่งใน 2 แสน 2หมื่นคน… เขาเป็นนักโทษระดับเอ คลาส (class A) ข้อหาแรงสุด เขาถูกจับใส่คุกซุกาโม (Sugamo) ในข้อหา ปล้นจีนและแมนจูเรีย ขโมยทรัพย์สินส่วนบุคคล และใช้คนเป็นทาสแรงงานในการทำเหมืองและโรงงาน
หนึ่งวันก่อนถูกนำไปเข้าคุก เขาได้รับโทรเลขบอกว่า… “เป็นไปได้ว่า อเมริกา จะไม่ดำเนินคดี และลงโทษคุณ ดังนั้น อย่าได้ใจร้อนทำอะไร (อย่ายอมรับ ไม่ว่าข้อหาใด)”
ระหว่างที่อยู่ในคุกซุกาโม คิชิ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขาคลุกคลีกับบรรดานักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมทั้งพวกนอกกฎหมายที่ถูกจับ บังเอิญเขาอยู่ห้องขังร่วมกับโคดามะ โยชิโอะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อใหญ่หัวหน้ายากูซ่า แก๊งมังกรดำ ในขณะนั้น (ที่ในปี ค.ศ.1945 ด้วยการปล้นสารพัดที่ในช่วงสงคราม… โคดามะน่าจะเป็นคนรวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็นรองแค่จักรพรรดิเท่านั้น) และ ฮาโตยาม่า อิชิโร่ (Hatoyama Ichiro) ซึ่งต่อไปจะเป็นผู้ก่อตั้ง LDP พรรคสุดยอดอิทธิพลของญี่ปุ่น หรือที่คนส่วนใหญ่บอกว่า เป็นเจ้าของญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ
ดูเหมือนคุกซุกาโม จะเป็นแหล่งรวมพวกนรกแตก และพวกเขากำลังจะเป็นผู้สร้างอนาคตของญี่ปุ่น
โคดามะ เจ้าพ่อยากูซ่านั้น เป็นกระเป๋าเงินตัวจริงของพรรคเสรีนิยม (Liberal Party) อยู่แล้ว แต่หลัง จากนั่งวาดอนาคตญี่ปุ่นกันในคุก โคดามะก็บอกว่า จะลงทุนตั้งพรรคการเมืองอีกพรรคให้ ฮาโตยาม่าเป็นหัวหน้าพรรค ถ้าฮาโตยาม่า ยอมให้ คิชิ เป็นผู้ดูแลด้านการเงิน และเป็นคนดูแลกิจการหลังบ้านของพรรค ฮาโตยาม่า ตกลง โคดามะก็เลยลงเงินหลายล้านเหรียญ ตั้งพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ให้ฮาโตยาม่าง่ายดีจัง …ประชาธิปไตยยี่ห้อ ยากูซ่า
ข่าวว่า โคดามะ ซึ่งขณะนั้น มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 13 .5 พันล้านเหรียญ รับกับสื่อว่า เขาได้จ่าย เงินให้แก่ SCAP ไป 200 ล้านเหรียญ ให้แบ่งกันระหว่างเจียงไคเช็คกับ Counter-Intelligence Corp (CIC) หน่วยงานบังหน้าของซีไอเอ …หลังจากจ่ายเงินไปไม่นาน โคดามะกับคิชิ… ก็ได้เดินออกมาจากคุกซุกาโม อย่างเงียบๆ สบายๆ
ส่วนซีไอเอคงถูกใจ โคดามะมาก เมื่อพ้นออกมาจากคุก ซีไอเอจึงจ้างเขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ดูแลไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องฝิ่น เฮโรอีน ทอง เพชร ที่อยู่ตามประเทศต่างๆ แต่ที่อเมริกาปลื้มมากคือ ฝีมือการ “ดูแล” ของโคดามะ โดยเฉพาะการไปดูแล แร่ทังสเตน ซึ่งเหมาะสำหรับการทำหัวจรวด และหัวเครื่อง บินรบ ซึ่งข่าวว่า จีนมีแร่นี้อยู่แยะ เมื่อโคดามะไปขนแร่นี้มาจากจีน มาถึงญี่ปุ่น ซีไอเอก็ขนแร่นี้ต่อไปที่อเมริกา
ส่วน คิชิ เมื่อออกมาจากคุกด้วยเงินของโคดามะ และใช้เครือข่ายการเมืองของฮาโตยาม่า เขาก็เดินสาย ตะล่อมเอานักการเมืองมาเข้าพวก และเริ่มบทบาทเจ้าพ่อทางการเมือง ขณะเดียวกันพี่ชายของเขานายซาโตะ ไอซากุ (Sato Eisaku) ก็ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการของนายกรัฐมนตรีโยชิดะ (Yoshida) เมื่อพรรคLDP ตั้งสำเร็จ ก็ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างไม่ยาก หลังจากนั้น LDP ก็ครองเสียงข้างมากในสภามาตลอด ขนาดมีคำพูดว่า อำนาจของ LDP ในญี่ปุ่นนั้น เป็นรองแค่จักรพรรดิ เท่านั้นเอง คิชิ โนบุซุเกะ มีความสำคัญอย่างไร
เขาเป็นคนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่น ให้อเมริกาเข้าไปกินญี่ปุ่น ต่อหรือแทน อังกฤษ คิชิ ทำหน้าที่ไม่ต่างกับชาลี ซ่ง ช่วยเปิดประตูเมืองจีน ให้อเมริกาเข้าไปแทนอังกฤษ เรื่องราวอาจจะไม่เหมือน แต่ก็ทำหน้าที่เป็นคนเปิดประตูบ้านตัวเอง ให้โจร (อีกราย) เข้ามาในบ้านเหมือนกัน
อเมริกา น่าจะวางแผนเข้ามาในญี่ปุ่นและ “ใช้” ญี่ปุ่น ไม่ต่างกับที่อังกฤษคิด อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่นสูงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1800 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว อิทธิพลของอังกฤษในญี่ปุ่น ก็เริ่มลดลง แต่ยังไม่หายไป ทั้งมอร์แกน และ ร้อกกี้เฟลเลอร์ต่างเข้ามาเปิดตัว เปิดตลาดในญี่ปุ่น ในเวลาใกล้เคียงกัน มอร์แกนเน้นเรื่องธุรกิจการเงิน ร้อกกี้เฟลเลอร์เน้นเรื่องน้ำมันและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 กลุ่ม มีทั้งร่วมมือกันกิน และก็แย่งกันกิน