แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 3 ‘เหยื่อ’

ไม่ตกสะเก็ด

ตอน  14

ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่นอยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และเจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับรอธไชลด์ บรรดาทูตอเมริกันประจำญี่ปุ่นในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกนเช่น ดับเบิ้ลยู แคมเมอรอน ฟอร์ปส์ (W. Cameron Forbes) นอกจากเป็นทูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่งของมอร์แกนด้วย ส่วนอีกคนที่มีบท บาทมากคือ โจเซฟ กริว (Joseph Grew) (ที่มีเมียเป็นญาติกับเมีย แจ็ค มอร์แกน) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย (Mitsui) ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว

แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยันและมุ่งมั่นว่า อเมริกาแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่น

และด้วยความตั้งใจอย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้และเขี่ยกลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย

สำหรับการยึดเอเซียแปซิฟิก… ร้อกกี้เฟลเลอร์เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูลแฮรี่แมน (Harriman) เจ้าพ่อทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับ ร้อกกี้เฟลเลอร์

ตัวจักรใหญ่ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานกฎหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ ซัลลิแวน แอนด์ ครอมเวลล์ (Sullivan and Cromwell) ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทึกการจ่ายเงินของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตก ลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ

หัวหน้าทนายใหญ่ของสำนักงาน ซัลลิแวน แอนด์ ครอมเวลล์ คือ นายจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลลัส (John Foster Dulles) ซึ่งต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาว (Eisenhower) มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิตส์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า… ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วยและเสีย ชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาลที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของจอห์น (John) คือ อัลเลน (Allan) ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัยไอเซนฮาวเช่นเดียวกัน

เรื่องของซัลลิแวน แอนด์ ครอมเวลล์ น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …

การใช้สำนักงานกฎหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ไอ้โจรร้ายหนีคุกบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน

แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงงานฟอกย้อมตัวจริง

เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม ดูนุ่ม แต่โดนเข้าไปก็น่วม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือนเมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วย

การสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้ รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี… ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศเช่น อเมริกาและญี่ปุ่น …เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา …มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น

และอีกวิธีการที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอมและเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทาน เรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน

แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนามและหลังจากนั้น) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยา ศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน …การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์เช่น การเกษตรพันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิตและบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเราก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิตแบบจีเอ็มโอ (GMO) ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผลของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน… ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ

กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกาจะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบฝังรากเทียมนี่แหละ

ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูลหรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชันนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกาทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกาสร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรรค์และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ

บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงคราม โลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนามก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวางมีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละครขนาดเล็กเพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูลที่อเมริกาต้อง การฝังหัวให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนามเข้า ใจว่า เปลี่ยนรูปแบบไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชนไปจนถึงคนคุมกำเนิด เฮ้อ..

สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ มาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้งส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ … แปลว่า อเมริกา มีแผนการคิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่นและเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริการอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…

คนที่ถือธงนำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ แฟรงค์ บักแมน (Frank Buchman) เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ตระกูลใหญ่อย่าง สุมิโตโม และมิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อบรรษัทใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และบารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ (Eiichi Shibusawa) นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียนที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฎหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว รูปแบบนี้คุ้นๆ ไหมครับ

เมื่อใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นายแฟรงค์ บักแมน ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกาโดยร้อกกี้เฟลเลอร์และซีไอเอ ใช้สร้างและควบ คุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี ค.ศ.1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศคือ ญี่ปุ่นและเยอรมัน)                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                               

MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่ายในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของเยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา เรียวอิชิ (Sasagawa Ryoichi) ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่นกับนายคิชิ ที่คุกซุกาโม และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า

นายซาซากาวานั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเลอร์และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง

และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ

นายซาซากาวาคนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 – ค.ศ.1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมืองมิโนโอะ (Minoo) อยู่ใกล้ๆ กับโอซากา (Osaka) ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อโคคุโบชะ (Kokubosha) หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ โคคุซุอิ ไทฮุโตะ (Kokusui-Taihuto) หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง

นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏิบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น… หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดยนายโยชิโอะ โคดามะ (Yoshio Kodama) ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน

กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และมองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับ สนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน

นายซาซากาวานั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ

และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐ มนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ ถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของนายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน… ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้… และมาบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่นก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำของนายซูจิ มาซาโนบุ (Tsuji Masanobu) นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลังเขามาวางยุทธ ศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา

มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies

Scroll to Top