เล่ม 3 ‘เหยื่อ’
ไม่ตกสะเก็ด
ตอน 18
เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น…. ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น …ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้
ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนิทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ
แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ… หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง… ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆ เรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้
บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น
เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ
จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิด ชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้นประเทศ ที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น
ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน
ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก
แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ….เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ (Kodama Yoshio) ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือโยนาอิ (Admiral Yonai) ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ เรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว
ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่าครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว
ตัวแรกคือ องค์ชายนาชิโมโต (Nashimoto) อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือนเป็นการจับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ …แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธานมิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆ กับเกาะญี่ปุ่นเอง
หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมาว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพ อากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ
ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอา ไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ… เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชิงตัน… มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่า จะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุกพ้นข้อหาทั้งปวง
แค่จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน
แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อยนักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มีนาย คิชิ โนบุซุเกะ (Kishi Nobusuke) คง ยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมาเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ โยชิโอะ (Kodama Yoshio) เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา เรียวชิ (Sasagawa Ryochi) เจ้าพ่อยากูซ่าอีกราย
ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมาร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุก คน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือกหรือให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไปที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ
และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบันนายชินโซะ อาเบะ (Shinzo Abe) ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของนายคิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรักที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก…
ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วยคือ ซันกิชิ ทาคาฮาชิ (Sankichi Takahashi), ชูมิ โอกาวา (Shumi Okawa) และโยชิฮิซะ คือซึ (Yoshihisa Kuzu)
คือซึ เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ (Black Dragon Society) รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ
สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นายโตยาม่า มิตซูรุ(Toyama Mitsuru) ที่ลึกลับและเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็นแขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโรฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน
นายพลทากาฮาชิ (Takahashi) ก็เป็นนายทหารใหญ่ที่สังกัดมังกรดำ
ส่วนนายชูมิ โอกาวา (Shumi Okawa) นั้น เป็นหัวหน้าสายลับที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน
นายโคดามะ ภายหลังทำงานให้กับ CIA ของอเมริกาอย่างใกล้ชิด ผลงานเข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะเป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี… แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่
หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียงไคเช็คปราบชาวฟอร์โมซาที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุ การณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา
ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมคหอบเอานายชิโร่ อิชิอิ (Shiro Ishii) อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้…สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว… นายพลแมคให้ทดลองปล่อยแมงมุม ตัวหมัด แมลงสารพัด ซึ่งใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฏว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงาน ในที่สุดนายชิโร นี่นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่า ยังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ
ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ
ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา
อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่องตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) และตัวแสบเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของ ร้อกกี้the great
จอร์จ แอตชิสัน ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศที่พรรครีพับลิกัน ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการกลับหัวกลับหางของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง… เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน… เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง
เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง….แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะจอห์นสตัน (Johnston) เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็นแอตชิสันส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…