แด่นักรบเงา ที่เสียสละแม้ชีวิต
เพื่อรักษาบ้านเมืองที่รักของเรา

Search

เล่ม 4 ‘เหยื่อ 3 ต้มไม่เสร็จ’

เริ่มเรื่อง…

ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกกันไว้ สงครามโลกครั้งที่ 1ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1918 แต่ความรุน แรงที่สงครามโลก ได้สร้างทิ้งไว้ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะยังไม่จบ การโต้แย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งกำ หนดขึ้นโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอังกฤษ เพื่อสนองตัณหาของพวกนักล่า ได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและความเศร้าสลดใจไว้ในภูมิภาคนี้ อย่างยากที่จะหาทางเยียวยา

ที่เมืองดามัสกัส (Damascus) ในซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมากว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่เห็นเค้าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติอ้างว่า แก๊สพิษที่ถูกยิงลงมาฟุ้งกระจายอยู่บริเวณเมืองชายขอบของดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ.2013 นั้น ถูกยิงมาจากภูเขาคาซิออน (Qasioun) เป็นฝีมือกองทัพภาคที่ 4 ของรัฐบาลซีเรีย ขึ้นไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขานั้น ทำให้มีคนตายไป ประมาณ 1,400คน เป็นยอดคนตายเฉพาะใน 1 วันเท่านั้น ตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่ม จนถึงปัจจุบัน มีคนตายไปแล้วประมาณ 1.5 แสนคน

แบกแดด (Bagdad) เมืองที่เคยเป็นวังเก่าในอิรัก ชาวอิรักได้มีโอกาสมาเดินเล่นในส่วนที่เรียกว่าเป็นGreen Zone ที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำไทกรีส (Tigris) อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่กองทัพอเมริกันถอนออกไปแล้ว 2 ปี มันเป็นส่วนของเมืองแบกแดด ที่ทหารอเมริกันแอบใช้เป็นที่หลบภัย เมื่อตอนที่กองทัพอเมริกัน ทำให้ประเทศที่พวกเขาไปครอบครองอยู่ กลายเป็นแดนฆาตกรรมหมู่ ปัจจุบันสถานการณ์ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ การเดินเล่นใน Green Zone มีอายุสั้นจริง ส่วนอีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็นRed Zone การถูกยิง การตายหมู่ กลับกลายมาเป็นเหตุการณ์ประจำวันอีกครั้ง แม้ทหารอเมริกันจะถอยทัพออกไปแล้ว ความสงบก็ไม่ได้กลับมา มีคนตายไปแล้วเป็นหมื่นคน

เบรุต (Beirut) เมืองหลวงของเลบานอน เมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชมของชาวอาหรับ พวกเขาชอบใช้เบรุตเป็นสถานที่นัดพบ เป็นที่เดินเล่นทอดน่อง จูงมือกัน พักผ่อนหย่อนใจ และแข่งกันทำมาหากิน เป็นเส้นทางขนานคู่ระหว่างศาสนากับโลกีย์ มุสลิมกับคริสเตียน ชีอะห์กับสุหนี่ แล้วกลิ่นไอของการต่อสู้ที่ลิเบีย ซีเรีย และความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน อียิปต์และอิรัก ก็โชยมาใส่จมูกของชาวเบรุตที่กำลังเดินจูงมือกันอีกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนกลับมาเข้ามา ในใจของชาวเลบานอน แล้วเบรุตจะรอดไหม เราจะเจอคลื่นความไม่สงบ ความรุนแรงโหมใส่เราอีกครั้งไหม หรือว่ามันมาคอยเราอยู่แล้ว ตรงหัวมุมถนนอันเป็นที่รักของเราในเบรุตนี้เอง

2 ปี หลังจากการลุกฮือเหมือนนัดกันในปี ค.ศ. 2011 สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะย้อน กลับไปทางความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยวเหมือนอย่างที่ผ่านมา แทบจะไม่มีประเทศใดเลยในภูมิภาคนี้ ที่ไม่เคยผจญกับสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีประเทศไหนเลย ที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ ที่จะรับมือกับการจลาจลรอบใหม่ ที่อาจจะระเบิดเป็นวงกว้างไปทั่วภูมิภาค

ในอนาคตอันใกล้นี้ ขบวนการที่เรียกว่า Arab Spring ไม่ว่าจะงอกงาม หรือถูกต่อต้าน หรือถูกโค่น ในประเทศไหน ดูเหมือนประเทศนั่น ต่างก็ยับเยินพังพินาศทั้งสิ้น ด้วยความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น

สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวภูมิภาคนี้จากสื่อฟอกย้อม คงมองเห็นว่าการต่อต้าน ลุกฮือ ที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ และซีเรีย ก็คงเป็นพัฒนาการทางการเมืองตาม ปรกติของภูมิภาค แต่เปล่าหรอก ความไม่สงบเหล่านั้น มันเป็นหน่อใหม่ที่แตกเพิ่ม มาจากรากเหง้าของความขัดแย้ง ที่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อ  เนื่องโดยไม่มีการหยุดยั้งมา เป็นเวลาประมาณ 100 ปีแล้ว และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างไร

ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ที่ผลของมันจะสามารถสร้างความตึงเครียดและขัดแย้ง ให้ใหม่สดเสมอ ต่อเนื่องและยาวนานในตะวันออกกลาง ได้เท่ากับผลของสงครามโลกครั้งที่ 1

การสู้รบที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า European Civil War ที่หมายถึงช่วงเวลาความรุนแรงที่เขย่ายุโรป ตั้งแต่ ค.ศ.1914 เป็นต้นมาและสิ้นสุดเอาปี ค.ศ.1945 ต่อด้วยสงครามเย็นได้จบลงเมื่อค.ศ.1990 แต่สำหรับโลกอาหรับ ความตึงเครียดของพวกเขา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันยัง คงค้างคาอยู่

บรรดาชาวตะวันออกกลาง พบว่าพวกเขา มีชีวิตที่หวาดเสียวเหมือนเป็นนักไต่ลวด ที่ไม่มีตาข่ายขึงรองรับ พวกเขาไม่ได้เป็นนักไต่ลวดธรรมดา เขาไต่ลวดและยังถือดาบไล่ฟันกันระหว่างไต่ลวดด้วย

นัก (เขียน) ประวัติศาสตร์ฝรั่งบอกว่า ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ มี 2 ประเทศ คือ อียิปต์ และอิหร่าน ที่ดูเหมือนจะพอประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้แม้จะโดนเขย่า โดนโค่นอยู่หลายครั้ง

อีก 1 ประเทศ ที่ดูจะชำนาญในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แม้จะถูกบีบถูกถีบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วคือ ตุรกี

และอีก 1 ประเทศที่แม้ไม่ถนัด ในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แต่ใช้วิธีทำตัวอ่อน โอนไปตามกระแส เงินและน้ำมันคือ ซาอุดิอาระเบีย

ประเทศทั้ง 4 นี้ ล้อมรอบใจกลางของตะวันออกกลาง ซึ่งมี 5 ประเทศและ 1 รัฐพิเศษ คือ เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อิรัก อิสราเอลและปาเลสไตน์ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ฟรอมคิน (Fromkin) 

เรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า ลูกๆ ของอังกฤษและฝรั่งเศส

แต่ผมอยากจะแย้งนักประวัติศาสตร์ฝรั่งทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็น 4 ประเทศนักไต่ลวด หรือ 5,6 ประเทศพวกลูกฝรั่ง ข้างต้น ก็ดูเหมือนจะเอาตัวรอดยาก เพราะพวกเขาถูกฝรั่งนักล่าอาณานิคม “สร้าง” ขึ้นมา เพื่อใช้เป็น “ไม้เสี้ยม” ประเทศในตะวันออกกลาง ให้แตก ให้แย้ง กันเองอยู่เสมอต่างหาก

ไม่มีกลุ่มประเทศไหน  ที่ต้องผจญภัยสงคราม การขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง การโค่นล้ม การก่อการร้าย ได้มากเท่าที่กลุ่มเด็กถูกสร้างให้เป็นไม้เสี้ยมโดน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และอาจจะโดนต่อไปอีกนาน…

เพื่อที่จะเข้าใจความผิดปรกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ เราคงจะต้องตามไปรู้จักหัวหางของเหตุการณ์บางอย่าง ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งความล้มเหลว ของเหล่าผู้ปกครองและการเมืองในตะวันออกกลางเอง ที่ไม่สามารถจะต้านทาน หรือแก้เกมการครอบครอง และครอบงำโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติอังกฤษ และที่สำคัญ การค้นพบน้ำมัน การก่อตั้งอิสราเอล ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้

(ตีพิมพ์ในนิทาน เล่ม 4 ‘เหยื่อ 3 ต้มไม่เสร็จ’ หน้า 13)

Scroll to Top